บทที่ 6 บุตรสาวฝู่หยวนโป๋
ตู้โผวจื่อหวาดกลัวซื่อจื่อเฟยมาก แต่ก็ไม่กล้าสู้กลับ
ใครใช้ให้นางตาต่ำดูถูกคนอื่น คิดว่าตัวเองจะจัดการซื่อจื่อเฟยได้ล่ะ?
องครักษ์ลากตัวนางและสาวใช้คนนั้นออกไป ส่วนหมิงหรุ่ยได้แต่ยืนมองทุกอย่างตาปริบๆ นางอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
เมื่อครู่ตอนหยิ่นซู่ฮั่วตัดนิ้วตู้โผวจื่อ นางไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ เทียบกับตอนที่อยู่ในจวนเฉิงเซี่ยง มันต่างจากคุณหนูใหญ่ที่เข้าไปซ่อนตัวในห้องเพราะถูกคนรับใช้กลั่นแกล้งอย่างสิ้นเชิง
“หมิงหรุ่ย เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
หยิ่นซู่ฮั่วรู้ว่าหมิงหรุ่ยต้องขวัญเสียแน่นอน
ตอนนี้ยังต้องจัดการซื่อจื่อที่แตกต่างนี่อีกคน ยังไงก็ให้นางอยู่ห่างสนามรบหน่อยดีกว่า
ความกระอักกระอ่วนที่หยิ่นซู่ฮั่วมีเมื่อครู่ ได้ถูกขจัดไปพร้อมกับดาบแสนเผด็จการของตัวเองแล้ว
หลังหมิงหรุ่ยทำความเคารพโม่จวินเย่ด้วยความระแวดระวังแล้ว ก็ถอยออกไปจากห้อง
“ท่านซื่อจื่อ ละครฉากเมื่อกี้ ท่านชอบไหม?” หยิ่นซู่ฮั่วมีแววตาคมชัด ราวกับคนที่ถือดาบเมื่อครู่ไม่ใช่นางอย่างนั้น
โม่จวินเย่เม้มปาก ดวงตาลุกวาวราวกับคบเพลิง
หยิ่นซู่ฮั่วกลับไม่ได้หวาดกลัว ถ้าเขาอยากมองงั้นก็ปล่อยเขามองไปเถอะ
“เมื่อวานเจ้าทำอะไรกับข้า?” ในที่สุดโม่จวินเย่ก็เริ่มเปิดปาก
“ยาระงับประสาท ไม่อันตรายถึงชีวิตท่านหรอก ข้าทำไปเพราะป้องกันตัว ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าซื่อจื่อจะไม่เข้ามาทางประตู แต่ชอบมาทางหน้าต่างแทน อีกอย่างก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นห้องหอตัวเอง ยังจะใส่ชุดดำเข้ามา ชุดเจ้าบ่าวมันไม่พอดีตัวเหรอเพคะ?” หยิ่นซู่ฮั่วบ่นพึมพำหน่อยๆ
ซื่อจื่อคนนี้ชอบจับผิดตัวเอง แถมยังเกือบทำให้ตัวเองชื่อเสียงป่นปี้
สีหน้าโม่จวินเย่ดูเยือกเย็นขึ้นพอสมควร แต่ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงเรื่องที่นางแอบบอกเป็นนัยว่าตัวเองไม่ไหว
สำหรับผู้ชาย นี่มันเป็นเรื่องที่เอาชีวิตกันได้เลยนะ
“เหมือนคำพูดเมื่อกี้ของเจ้า ข้าจะต้องเป็นคนช่วยแบกรับความผิดให้นะ……”
หยิ่นซู่ฮั่วตอบกลับอย่างเยือกเย็น “ข้าแค่บอกว่าซื่อจื่อร่างกายอ่อนแอ พวกเขาคิดไม่ดีเอง ถ้าจะโทษก็ต้องโทษพวกเขาซิ?”
โม่จวินเย่กัดฟัน สีหน้าดูโกรธยิ่งขึ้น
“เมื่อกี้ข้าเห็นว่าซื่อจื่ออยู่ที่นี่ ถึงได้กล้าลงโทษข้ารับใช้คนนั้น ซื่อจื่อจะไปอธิบายกับพระชายาเป็นเพื่อนข้าไหมเพคะ?”
เนื่องจากหลังแต่งเข้ามา แม้พระชายาจะเป็นแม่เลี้ยงของโม่จวินเย่ แต่นางก็ยังต้องไปทำความเคารพอยู่ดี
ดวงตาโม่จวินเย่เต็มไปด้วยความดูถูก
“อธิบาย? ข้าจำเป็นต้องไปอธิบายกับนาง? เจ้าเป็นคนก่อเรื่อง เจ้าก็ต้องไปอธิบายเอง”
เขาไม่ได้คิดจะอยู่ต่ออีก จากนั้นก็เดินผ่านตัวหยิ่นซู่ฮั่ว แล้วออกมาจากห้องทันที
หยิ่นซู่ฮั่วเองก็ไม่ได้รั้ง หลังจัดการตัวเองแล้ว นางก็ไปหาพระชายาที่ “จิตใจงาม” ผู้นั้น
“ท่านซื่อจื่อ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”
องครักษ์เองก็มึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“พวกเจ้าอยากให้ข้าเป็นอะไรหรือไง?” พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว โม่จวินเย่ก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที
องครักษ์เห็นท่าทางของเขา เลยไม่กล้าพูดต่อ
ผู้ชายคนหนึ่งถูกเจ้าสาวบอกว่าไม่ไหว หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็คงไม่มีใครสบอารมณ์เหมือนกัน
หลังเห็นหยิ่นซู่ฮั่วกำลังแต่งตัวอย่างสบายอกสบายใจ หมิงหรุ่ยก็รู้สึกกระวนกระวาย
“ซื่อจื่อเฟย อีกเดี๋ยวพอเราไปหาพระชายาแล้ว นางเกิดถามถึงเรื่องป้าสองคนนั้นขึ้นมา เราจะรับมือยังไงเพคะ?”
“ถ้านางกล้าถาม ข้าก็กล้าตอบ ยังไงข้าก็ไม่ได้เป็นคนอึดอัด คนที่อึดอัดต้องเป็นคนอื่นต่างหาก” หยิ่นซู่ฮั่ววางแผนเสร็จสรรพเรียบร้อยหมดแล้ว
ในเมื่อข้างนอกเขาลือกันว่าพระชายาเป็นสตรีเปี่ยมคุณธรรม หลายปีที่ผ่านมาก็ดูแลโม่จวินเย่เหมือนลูกตัวเอง หากบอกว่าข้ารับใช้คนเก่าคนแก่กล้าเมินเฉยตัวเองเช่นนี้ คนอื่นก็จะคิดว่าพวกเขาตัดสินใจทำอะไรเอง หรือไม่ก็บอกว่านางอยากสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองแบบไม่เลือกวิธี
ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหน การไปทำความเคารพในวันนี้ นางมีวิธีรักษาเอาตัวรอดกลับมาทั้งนั้น
หมิงหรุ่ยรู้สึกว่าซื่อจื่อเฟยไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ ถ้าอยู่ในจวนเฉิงเซี่ยง ทุกครั้งที่ถูกหยิ่นเมี่ยวเสว่รังแก นางจะเอาแต่คิดไม่ตกว่าจะไปอธิบายกับเฉิงเซี่ยงฮูหยินอย่างไร ว่าทำไมตัวเองถึงทำให้หยิ่นเมี่ยวเสว่โมโห
“ไม่ต้องรอให้ท่านซื่อจื่อไปด้วยกันหรือเพคะ?”
หมิงหรุ่ยเห็นหยิ่นซู่ฮั่วจะออกไปตัวคนเดียว เลยเอ่ยถาม
“ไม่ต้องหรอก เขาจะต้องไม่อยากเห็นข้าบอกว่าเขาไม่ไหวต่อหน้าพระชายาอีกรอบแน่นอน”
หยิ่นซู่ฮั่วมองกระจก มองการแต่งหน้าของตนเอง มันไม่ต้องพิถีพิถันเกินไป เพราะไม่ว่าอย่างไรใบหน้านางก็สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่หยิ่นซู่ฮั่วออกมาเดินแบบนี้ในจวนอ๋อง เนื่องจากมีขนาดแตกต่างจากจวนเฉิงเซี่ยง นางเลยไม่รู้ว่าเรือนหลังไหนเป็นของพระชายา
บวกกับหวังมามาและตู้มามาถูกนางจัดการติดๆ กัน ทางฝั่งพระชายาเลยไม่ได้ส่งคนมานำทางให้นาง
แต่หยิ่นซู่ฮั่วก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หากจงใจอยากทำให้ตัวเองไปสาย แล้วตำหนิว่าตัวเองไม่มีมารยาท ขาดการอบรมสั่งสอน งั้นนางก็จะผลักความรับผิดชอบนี้ไปที่จวนเฉิงเซี่ยง
เมื่อวานตัวเองให้คำมั่นสัญญาที่หน้าจวนอ๋องแล้ว ว่าจะตัดความสัมพันธ์กับจวนเฉิงเซี่ยง ไม่แสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ให้จวนเฉิงเซี่ยง บางทีข่าวนี้คงไปถึงหูหยิ่นโฮ่วเหยียนแล้ว หากเพิ่มความผิดว่าจวนเฉิงเซี่ยงสั่งสอนลูกไม่ดีกับเขาอีกสักเรื่อง ประมาณว่าคุณหนูใหญ่บุตรตรีเอกไม่รู้จักกฎระเบียบ นางก็อยากรู้จริงๆ หลังข่าวลือแบบนี้แพร่ทั่วเมืองหลวงแล้ว หยิ่นเมี่ยวเสว่จะออกเรือนได้อย่างไร
ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวที่จวนเฉิงเซี่ยงทอดทิ้ง จึงไม่จำเป็นต้องสนใจชื่อเสียงจวนเฉิงเซี่ยงหรือพี่น้องร่วมสายเลือดของตัวเองอีกต่อไป
“ใครอยู่ตรงนั้น?”
เสียงหยิ่งยโสของผู้หญิงคนหนึ่ง ดังมาจากสถานที่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก
บัดนี้ หยิ่นซู่ฮั่วกำลังเดินชมดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ในสวนหลังจวน
ในเมื่อทุกคนไม่รีบ งั้นตัวนางเองก็ไม่รีบเหมือนกัน
ผ่านไปไม่นาน เด็กสาวแต่งตัวลูกผู้ดีคนหนึ่ง ก็เดินออกมาจากอีกฝั่ง พร้อมกับหญิงรับใช้อีก 7-8 คน
ภาพลักษณ์ขนาดนี้ คงเป็นเจ้านายของเรือนไหนสักแห่งกระมัง
ดูจากอายุของนางแล้ว พอๆ กับหยิ่นซู่ฮั่ว แต่สีหน้าของนางกลับปกปิดการวางอำนาจไว้ไม่อยู่
เมื่อเห็นหยิ่นซู่ฮั่วและหมิงหรุ่ยกำลังชมดอกไม้อยู่ตรงนั้น นางก็มีน้ำโหยิ่งกว่าเดิม “เห็นข้าแล้ว ทำไมไม่รู้จักทำความเคารพ?”
หมิงหรุ่ยกำลังจะทำความเคารพ เพราะนางทำจนชินแล้ว แต่กลับถูกหยิ่นซู่ฮั่วคว้าตัวไว้ก่อน
“ทำความเคารพ มันทำได้อยู่แล้ว แต่ยังไงข้าก็ต้องรู้ก่อนหรือเปล่า ว่าเจ้าเป็นเจ้านายเรือนไหน เป็นอนุของท่านอ๋อง หรือว่าเป็นอนุของคุณชายคนไหน ไม่งั้นพอเรียกผิดบรรดาศักดิ์แล้ว จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาไม่ใช่หรือไง?”
เมื่อได้ยินคำพูดหยิ่นซู่ฮั่วที่ดูหมิ่นตัวเอง ดวงตารูปอัลมอนด์ของผู้หญิงคนนั้นก็เบิกกว้าง
ตอนนางเห็นใบหน้าของหยิ่นซู่ฮั่ว นางก็รู้สึกอิจฉาพอสมควร
เพราะใบหน้าแบบนี้ ช่างเป็นหญิงงามล่มเมืองจริงๆ
นางยังไม่ทันได้กล่าวอะไร หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างหลังนางคนหนึ่ง ก็มองหยิ่นซู่ฮั่วด้วยใบหน้าดูถูกดูแคลน
“แหกตาของเจ้าดูให้ดีๆ คุณหนูของพวกเราหลิ่วหลินหลางเป็นบุตรสาวของฝู่หยวนโป๋ พระชายาหนิงอ๋องเป็นท่านป้าของคุณหนูพวกเรา ในจวนมีคนรับใช้รนหาที่ตายอย่างเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถึงกลับกล้ามาเดินเล่นที่นี่ และยังแต่งตัวอวดดีขนาดนี้อีก?”
หมิงหรุ่ยกำลังจะบอกฐานะของพวกนาง แต่หยิ่นซู่ฮั่วกลับห้ามนางอีกรอบ
“ถ้างั้นเจ้าคิดว่า พวกเราควรอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“ในเมื่อเป็นคนใช้ ก็ควรไปรับใช้เจ้านาย กฎของจวนอ๋อง ถูกเจ้ากินไปหมดแล้วหรือไง?” หญิงรับใช้คนนั้นกลับกล้าพูดน่าดู
“ก็จริง ในเมื่อเป็นคนใช้ ก็ควรรับใช้เจ้านาย แต่ไม่รู้ว่า กฎของจวนฝู่หยวนโป๋ของพวกเจ้า ถูกใครกินเข้าไป ที่นี่คือจวนหนิงอ๋อง ถึงจะต้องโดนตักเตือน ก็ควรเป็นพระชายา จะตกมาถึงบ่าวชั้นต่ำอย่างเจ้าได้ยังไง?”
หยิ่นซู่ฮั่วคิดว่าน่าขัน ดูท่าหลังพระชายาผู้นี้แต่งเป็นภรรยาใหม่ของหนิงอ๋องแล้ว ไม่ได้บอกคนบ้านมารดาของตนเลย ว่าให้ควบคุมกิริยามารยาทของตัวเองหน่อย
หลิ่วหลินหลางเข้าใจความหมายของหยิ่นซู่ฮั่ว เลยไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
“ในเมื่อรู้ว่าในจวนแห่งนี้ท่านป้าของข้าเป็นใหญ่ ถ้างั้นแล้วทำไมยังไม่มาคุกเข่ายอมรับความผิดกับข้าอีก ข้ายังพอจะไว้ชีวิตเจ้าได้นะ”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นเราไปพูดกันต่อหน้าพระชายาเถอะ ดูว่านางจะให้ข้าตายหรือเปล่า?”