บทที่ 14 เจ้าคือหยิ่นซู่ฮั่วตัวจริงงั้นเหรอ
โม่จวินเย่มองหยิ่นซู่ฮั่ว พลางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน “ได้เจอกับเจ้าแล้วมันยังไง?”
“จะได้เพลิดเพลินกับชีวิตคนปกติ”
สีหน้าท่าทางของหยิ่นซู่ฮั่วไม่เหมือนกำลังล้อเล่น
ทันใดนั้นโม่จวินเย่ก็ยิ่งรู้สึกว่า ทำไมซื่อจื่อเฟยคนนี้เหมือนนักต้มตุ๋นนะ?
หรืออยากได้มีชีวิตอยู่ดีมีสุขในจวนหนิงอ๋องหน่อย นางเลยอยากเอาอกเอาใจตัวเอง?
ถ้าเป็นแบบนั้น หลังตัวเองตาย นางคงได้อนาถยิ่งกว่าเดิมแน่
“ไม่ว่ายังไงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ก็แค่ไม่มีวิธีรักษาท่าน แต่ถ้าเกิดทำให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อได้จริงๆ มันก็นับว่าท่านชนะพนัน ความจริงแล้วไม่มีคำว่าแพ้อยู่ ไม่ใช่หรือไง?” หยิ่นซู่ฮั่วกล่าวเพิ่มอีกหน่อย
ดวงตาของนางคล้ายดวงดาวที่สว่างไสวพวกนั้นบนฟากฟ้า
ส่วนท่าทีของโม่จวินเย่กลับดูยากหยั่งถึงขึ้นเรื่อยๆ
หลังมีชีวิตอยู่ได้มานานหลายปีขนาดนี้ นี่กลับเป็นผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองที่สุดที่เขาเคยเจอ และเป็นหมอที่แปลกประหลาดที่สุดด้วย
“เจ้าใช่หยิ่นซู่ฮั่วจริงๆ หรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามอย่างกะทันหัน
หยิ่นซู่ฮั่วเข้าใจเขา ถึงโม่จวินเย่จะไม่ได้ออกจากจวน แต่ก็ไม่ได้ปิดหูปิดตาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอก
โดยเฉพาะคนที่ต้องแต่งงานกับเขา เขาย่อมใส่ใจเป็นธรรมดา
“ถ้าท่านอยากถามว่า หลังแม่ข้าตาย ข้าต้องใช้ชีวิตอย่างทุลักทุเลอยู่ในจวนเฉิงเซี่ยง ดิ้นรนพยายามเอาตัวรอดภายใต้เงื้อมมือแม่เลี้ยงคนใหม่ ไม่มีพ่อคอยปกป้อง และยังถูกส่งไปจวนหนิงอ๋องที่ไม่มีวันได้กลับ ในสายตาคนใต้หล้าราวกับหมากที่ถูกทอดทิ้ง ใช่ข้านี่แหละหยิ่นซู่ฮั่ว”
คำตอบนี้ชาญฉลาดมาก
สำหรับประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา นางย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
“แล้วยังไงต่อ?” โม่จวินเย่รู้ว่านางยังพูดไม่จบ
“บางทีท่านอาจอยากถามว่า ข้าเป็นคนที่ยอมให้คนอื่นชักจูง ยอมรับความทรมานทุกรูปแบบ เอาแต่รับปากลูกเดียวไม่รู้จักปฏิเสธ เป็นคู่เรียงเคียงหมอนที่ไม่มีสมองไหม นั่นไม่ใช่ข้า”
หลังจากพูดจบ หยิ่นซู่ฮั่วก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินกลับไปนั่งที่เตียงอีกครั้ง
“ท่านซื่อจื่อ นี่ก็ดึกมากแล้ว พักผ่อนกันเถอะ พอคิดถึงสุขภาพของท่าน ข้าไม่ให้ท่านนอนพื้นดีกว่า”
โม่จวินเย่หน้าดำ ยัยผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วหรือไง ตัวเองเป็นถึงซื่อจื่อ นางเพิ่งเข้ามาอยู่ในจวน กลับยอมให้ตัวเองนอนบนเตียงเพราะเห็นใจ?
ทว่าเขากลับคิดไม่ถึง ทันใดนั้นหยิ่นซู่ฮั่วก็ถอดเสื้อชั้นนอกออก แล้วเข้าไปนอนด้านใน นางยังเหลือพื้นที่ให้เขาพอสมควร
“ถ้าท่านซื่อจื่อไม่ขึ้นมา ก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ข้าไม่กล้ารบกวนให้คนใหญ่คนโตอย่างท่านมานั่งเฝ้าข้าที่นี่หรอก อ่อแล้วตอนออกไป ช่วยปิดประตูให้ข้าด้วยนะ”
หยิ่นซู่ฮั่วไม่เห็นโม่จวินเย่เป็นสามีแต่อย่างใด ตอนพูดก็ใช้น้ำเสียงได้ตามอารมณ์สุดๆ
ทันใดนั้นท่าทางของโม่จวินเย่ก็ดูน่าชมขึ้นเรื่อยๆ ตัวเขาเคยเจอคนมาเยอะมาก แต่ก็สามารถอ่านออกได้ในพริบตาเดียว
ทว่ากับหยิ่นซู่ฮั่วผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูด มันก็อยู่เหนือความคาดคิดของตัวเองทั้งนั้น
บางทีอาจเป็นเพราะไม่สบอารมณ์ โม่จวินเย่เลยรีบสาวเท้าไปที่เตียง แล้วล้มตัวลงนอน
หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆ เขาก็ต้องตื่น
เขาหลงคิดว่าท่านอนของตัวเองไปทำให้หยิ่นซู่ฮั่วตกใจ แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่ต้องประหลาดใจ
เพราะตอนนี้หยิ่นซู่ฮั่วหลับแล้ว ขนตานางสั่นไหวหน่อยๆ หรือแม้แต่ใบหน้ายามหลับใหลของนางก็ยังน่ามอง
ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปซะทีเดียว
เขาเลยเป่าเทียนให้ดับ แล้วกลับมานอนต่ออีกครั้ง
ทว่าหลังได้ยินเสียงหายใจของหยิ่นซู่ฮั่วแล้ว โม่จวินเย่กลับเป็นฝ่ายนอนไม่หลับแทน
เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
ในขณะที่กำลังลังเล จู่ๆ หยิ่นซู่ฮั่วก็เหวี่ยงขาข้างหนึ่งมาพาดบนขาของเขา
หากเป็นในเวลาปกติ เขาคงรังเกียจไปแล้ว
แต่หยิ่นซู่ฮั่วไม่ได้ทำอะไรต่อ และลมหายใจของนางก็ยังคงมั่นคง
แม้แต่ตัวเขาเองยังแปลกใจ ทำไมคราวนี้ตัวเองถึงไม่โมโหนะ
เขาหาเหตุผลข้อหนึ่งมาปลอบใจตัวเอง นั่นก็คือเขาง่วงแล้ว
……
ยามเช้าตรู่ ตอนหยิ่นซู่ฮั่วตื่นขึ้นมา โม่จวินเย่ก็ลงไปนั่งจิบชาอยู่ตรงนั้นแล้ว
นางไม่ได้ประหลาดใจ เพราะการที่สามีของตัวเองมาอยู่ในห้องตัวเอง มันมีอะไรน่าแปลกล่ะ
“อรุณสวัสดิ์ท่านซื่อจื่อ” หยิ่นซู่ฮั่วบิดขี้เกียจ
เมื่อเห็นท่าทางของนาง เดิมทีโม่จวินเย่ควรจะรังเกียจ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่านางเป็นคนจริง
ไม่เหมือนคุณหนูลูกผู้ดีพวกนั้น ชอบเสแสร้งดัดจริต
“เตรียมตัวได้แล้ว หลังกินข้าวเช้าเสร็จ เราจะออกกันแล้ว”
ขณะกล่าวคำพูดเหล่านี้ ความจริงโม่จวินเย่คิดไว้แล้ว ว่าเมื่อถึงจวนเฉิงเซี่ยงเมื่อไหร่ ตัวเองก็จะถูกใช้เป็นเครื่องมือ
หยิ่นซู่ฮั่วกลับไม่ได้รีบร้อน ขอแค่มีเขาไปกับตัวเอง ถึงเขาจะไม่พูดอะไร ตัวเองก็เป็นฝ่ายชนะอยู่ดี
ตอนหมิงหรุ่ยเข้ามาล้างหวีผมให้หยิ่นซู่ฮั่ว นางเดินอ้อมตัวโม่จวินเย่
โม่จวินเย่สงสัย นี่ตัวเองกินคนหรือไง?
“เจ้าชื่ออะไร?” เขาเอ่ยถามอย่างเย็นชา
ทันใดนั้นหมิงหรุ่ยก็ต้องลงไปคุกเข่ากับพื้น เพราะคิดว่าตัวเองทำผิดอะไรสักอย่าง
“กราบทูลท่านซื่อจื่อ บ่าวชื่อหมิงหรุ่ยเพคะ ถ้าบ่าวทำอะไรผิดไป มันไม่เกี่ยวกับซื่อจื่อเฟยนะเพคะ”
โม่จวินเย่หน้าดำอีกครั้ง “ข้าดูเป็นคนไร้เหตุผลมากหรือไง?”
“อื่อ……” หมิงหรุ่ยตอบกลับแบบไม่คิดเลยสักนิด
แต่แล้วทันใดนั้นเองนางก็ตั้งสติได้ เลยรีบโบกมือ “ไม่เพคะ บ่าวไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น…….”
“เอาล่ะ ข้าเองก็จะล้างหน้า ช่วยไปยกอ่างน้ำมาให้ข้าหน่อย”
โม่จวินเย่เห็นแล้วว่าหยิ่นซู่ฮั่วกำลังพยายามกลั้นหัวเราะอยู่
ตอนรับประทานอาหารเช้า หมิงหรุ่ยยังคงไม่กล้าหันมามองทางฝั่งโม่จวินเย่
ในเวลาปกติโม่จวินเย่จะทำตัวเย็นชา แต่ตอนนี้กลับมาถูกคนรับใช้เลือกปฏิบัติ เขาเลยไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่
ดังนั้นเขารับประทานไปได้ไม่เท่าไหร่ก็วางตะเกียบแล้ว
เมื่อเห็นหมิงหรุ่ยกำลังจะลงไปคุกเข่าอีกครั้ง เขาก็หมดคำจะพูดในทันที
นางคงไม่ได้คิดว่าที่ตัวเองไม่ยอมกินต่อ เป็นเพราะยังโมโหนางอยู่หรอกกระมัง?
“หมิงหรุ่ย เข่าเจ้าอ่อนเกินไปหน่อยนะ ยืนตัวตรงๆ หน่อย” หยิ่นซู่ฮั่วกล่าวอย่างเป็นนัย
เหงื่อหมิงหรุ่ยแทบจะตกอยู่แล้ว ตอนอยู่ที่จวนเฉิงเซี่ยง นางมักเตรียมตัวจะคุกเข่าตลอดเวลา
หากทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเคยชินแล้ว มันย่อมแก้ไขยาก
กว่าจะรับประทานอาหารเช้าจนเสร็จไม่ใช่เรื่องง่ายๆ องครักษ์หยางเข้ามารายงาน ว่าทางฝั่งนั้นเตรียมเสร็จหมดแล้ว ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ
หยิ่นซู่ฮั่วตั้งใจถามถึงอาการป่วยขององครักษ์ฉู่ครู่หนึ่ง
ปากขององครักษ์หยางแทบจะฉีกถึงใบหู “โชคดีที่มีเทียบยาของซื่อจื่อเฟย ตอนนี้พี่ฉู่กลืนได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ และตัวก็ไม่กระตุกแล้ว สีหน้าเองก็ควบคุมได้แล้ว”
เท่านี้ก็พอจะมองออกแล้ว เพราะหยิ่นซู่ฮั่วช่วยพี่น้องของพวกเขาไว้ องครักษ์อย่างพวกเขาเลยซาบซึ้งกันน่าดู
“ถ้างั้นก็ดีแล้ว วันนี้พอข้ากลับมาแล้ว จะไปฉีดยาให้เขาอีกเข็ม เทียบยาเมื่อวาน พอเจ้าต้มเสร็จแล้ว ก็ให้เขาดื่มเองได้แล้วนะ”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ……”
โม่จวินเย่มององครักษ์ของตัวเองทำตัวซาบซึ้งบุญคุณของหยิ่นซู่ฮั่วอย่างง่ายดาย เขาเลยรู้สึกไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่
ปัญหาที่ฉีโป๋เหิงยังจนปัญญา หยิ่นซู่ฮั่วกลับแก้ไขได้ การรักษาชีวิตขององครักษ์ฉู่ไว้ได้ ในฐานะที่เขาเป็นนาย เขาเองก็ซาบซึ้งเช่นเดียวกัน เพียงแค่ไม่อยากพูดออกมาเท่านั้น
ตอนพวกเขาจะออกจากจวน ผู้ติดตามข้างกายท่านอ๋องเอาของมาให้กองหนึ่ง บอกว่าหนิงอ๋องรู้ว่าวันนี้ซื่อจื่อเฟยจะกลับบ้าน เลยตั้งใจเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไว้ เขาบอกให้ซื่อจื่อเฟยเอากลับไปให้ที่บ้าน
โม่จวินเย่กลับไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร เพราะของพวกนี้ จวนหนิงอ๋องมีเป็นโข
ย้อนมามองทางหยิ่นซู่ฮั่ว สีหน้าของนางกลับดูขบคิด
“ทำไม น้อยไปหรือไง?” โม่จวินเย่เอ่ยถาม
หยิ่นซู่ฮั่วหัวเราะ “ท่านซื่อจื่อรู้ทั้งรู้ก็ยังถามหรือเพคะ? ตอนข้าเข้าจวน เคยให้คำมั่นสัญญาไว้แล้ว มีชาวบ้านมากมายขนาดนั้นเป็นพยาน ข้าย่อมผิดสัจจะตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว”
“ดังนั้น เจ้าหมายความว่า……”
หยิ่นซู่ฮั่วดูเยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ต่อจากนั้นนางก็กล่าวกับผู้ติดตามคนนั้นว่า “ฝากขอบพระทัยเสด็จพ่อด้วย แต่ของพวกนี้ เอาไปเก็บเถอะ คนจวนเฉิงเซี่ยงไม่คู่ควร”