บทที่ 15 วิวาทหน้าบ้าน
หลังขึ้นมานั่งบนรถม้าแล้ว หยิ่นซู่ฮั่วยังคงนึกถึงสีหน้าของติดตามคนนั้น หลังเขาได้ยินตัวเองดูถูกจวนเฉิงเซี่ยง
“เจ้ามีความสุขมากหรือไง?” โม่จวินเย่เอ่ยถาม
ตัวเขาเองก็รู้สึกถึงบางอย่าง หลังมาเจอกับหยิ่นซู่ฮั่ว ดูเหมือนความสงสัยใครรู่ในตัวจะเพิ่มขึ้นทุกวัน
หยิ่นซู่ฮั่วยังคงตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ไปเจอคนที่ตัวเองไม่อยากเจอ และยังทำให้พวกเขาได้เห็นคนที่พวกเขาดูถูกดูแคลน แต่กลับได้มีชีวิตที่ดีกว่าพวกเขา ความรู้สึกแบบนี้ มันค่อนข้างซับซ้อนน่ะ”
“จะอวด?” โม่จวินเย่คิดได้แค่คำนี้
หยิ่นซู่ฮั่วกลับหัวเราะ “ไม่ใช่ พวกเขามันไม่คู่ควร”
ในใจนาง นับตั้งแต่วินาทีที่ตัวเองขึ้นเกี้ยว หรือตั้งแต่เจ้าของร่างเดิมกินยาพิษ หรือนับตั้งแต่วินาทีที่เกิดมา นางก็ไม่ใช่สมาชิกของครอบครัวนี้อยู่แล้ว
ผ่านไปไม่นานรถม้าก็มาถึงจวนเฉิงเซี่ยง บ่าวรับใช้หน้าประตูดูค่อนข้างตกใจกันพอสมควร
เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้รับการแจ้งแต่อย่างใด เดิมทีคิดว่าหลังหยิ่นซู่ฮั่วรับปากจะตัดความสัมพันธ์จากจวนเฉิงเซี่ยงในวันแต่งงานวันนั้นแล้ว ก็จะไม่กลับมาบ้านหลังนี้อีก
แต่กลับคาดไม่ถึง ว่ารถม้าจวนหนิงอ๋องจะมาที่นี่อย่างไม่ทันให้พวกเขาได้ตั้งตัว
ผ่านไปไม่นานนัก บ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็เข้าไปรายงาน
หยิ่นโฮ่วเหยียนเดินออกมาพร้อมกับข้ารับใช้คนสนิทด้วยความใจเย็น
ข้างตัวของเขาคือฮูหยินเสิ่นยู่หู่ ส่วนด้านหลังยังตามมาด้วยหยิ่นเทียนเต๋อและหยิ่นเมี่ยวเสว่
หยิ่นซู่ฮั่วเดินลงมาจากรถม้าก่อน หมิงหรุ่ยเข้าไปประคองนางจนเดินมาถึงตรงหน้าพวกเขา
“นี่ไม่ใช่น้องสาวที่ลืมนามสกุลตัวเอง ไปเป็นซื่อจื่อเฟยคนนั้นหรือไง ทำไมกลับมาคนเดียวล่ะ หรือจะเดินเหินในจวนหนิงอ๋องไม่สะดวก ก็เลยกลับมาโขกหัวขอโทษพ่อตัวเอง?” ปากหยิ่นเทียนเต๋อยังคงเปราะเหมือนเดิม
หยิ่นซู่ฮั่วไม่คิดจะสนใจเขา ก็แค่หมาบ้าตัวหนึ่ง
หลังหยิ่นเมี่ยวเสว่เห็นนางมีท่าทีเช่นนั้นแล้ว ก็หลงคิดว่านางกำลังตกอับจริงๆ เลยออกปากกล่าวเย้ยหยันด้วย “วันออกเรือน พี่หญิงไม่ได้น่าเกรงขามมากเหรอ ยังกล้าตบหน้าพี่ชายข้า มาดนั่นทำราวกับจวนหนิงอ๋องคอยให้ท้ายท่านไม่มีผิด แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้กลับมาแบบเงียบเหงาขนาดนี้ล่ะ?”
หยิ่นซู่ฮั่วเงยหน้า ท่าทางสงบนิ่ง แตกต่างไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
“อายุป่านนี้แล้ว ยังไม่เข้าใจโรคภัยเข้าจากทางปาก ภัยพิบัติออกจากทางปากอีกหรือไง?”
หยิ่นเมี่ยวเสว่คิดจะเถียงกลับ แต่หยิ่นโฮ่วเหยียนกลับห้ามนางไว้ก่อน
“ซู่ฮั่ว ที่กลับมาวันนี้ ก็เพื่อมาพูดเรื่องพวกนี้งั้นเหรอ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว แต่ดูจากสีหน้าของท่านพ่อกับฮูหยินแล้ว เหมือนไม่ค่อยอยากให้ซู่ฮั่วกลับมาเท่าไหร่นะเจ้าค่ะ”
หยิ่นซู่ฮั่วไม่ใช่ลูกสาวด้อยค่าตัวเอง ที่ไม่กล้าพูดต่อหน้าหยิ่นโฮ่วเหยียนเหมือนในสมัยก่อนแล้ว
หลังเห็นการเปลี่ยนแปลงของนาง หยิ่นโฮ่วเหยียนก็ค่อนข้างประหลาดใจพอสมควร
“ตัดความสัมพันธ์กับบ้านแม่ คำสัญญาแบบนี้ เจ้าก็กล้ารับปากง่ายๆ นะ อกัตญญูจริงๆ” หยิ่นโฮ่วเหยียนเริ่มตำหนิ
หยิ่นเทียนเต๋อและหยิ่นเมี่ยวเสว่ที่อยู่ด้านข้าง ก็เริ่มแสดงท่าทีมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
ขอแค่หยิ่นโฮ่วเหยียนใช้น้ำเสียงแบบนี้ ก็แสดงว่ากำลังกล่าวโทษหยิ่นซู่ฮั่ว
ในช่วงหลายปีมานี้ ไม่เคยมีครั้งไหนถูกยกเว้นมาก่อน
ทว่าคราวนี้หยิ่นซู่ฮั่วไม่ได้หวาดกลัว กลับกันยังเถียงกลับด้วยท่าทางสบายๆ “ในเมื่อท่านพ่อสามารถส่งข้าไปจวนหนิงอ๋องได้อย่างหน้าไม่อาย ในฐานะที่ข้าเป็นลูกสาว ข้าจะไม่กล้ายอมรับข้อเรียกร้องของซื่อจื่อได้ยังไงละเจ้าค่ะ ถ้ายังไงท่านพ่อช่วยข้าคิดหาวิธีดีไหม เอาที่แบบเติมเต็มความเห็นแก่ตัวของท่านได้ ทำให้ข้าเข้าจวนหนิงอ๋องได้อย่างราบรื่น และยังไม่ถูกรังเกียจด้วยได้ไหมล่ะเจ้าค่ะ”
หลังได้ยินคำพูดฉีกหน้าพวกนี้ของหยิ่นซู่ฮั่วแล้ว หยิ่นโฮ่วเหยียนก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟในทันที
เขายกมือจะตบนาง แต่กลับถูกเสิ่นยู่หู่ที่อยู่ข้างๆ ห้ามไว้ซะก่อน
เนื่องจากตรงนี้คือหน้าจวนเฉิงเซี่ยง หากปล่อยให้ใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี
“ท่านพี่ ใจเย็นหน่อย นางไม่รู้ความตั้งแต่เด็ก ท่านจะเก็บมาใส่ใจทำไมละเจ้าค่ะ”
ไม่รู้ความตั้งแต่เด็ก ฮ่าๆ ตัดสินแบบนี้ นางนี่กล้าพูดจริงๆ นะ
“ซู่ฮั่ว ยังไม่รีบขอโทษพ่ออีก” เสิ่นยู่หู่เริ่มยั่วยุอีกครั้ง นี่เป็นเล่ห์เหลี่ยมปกติที่นางชอบใช้
ทว่าด้วยความสัมพันธ์ของนางกับหยิ่นโฮ่วเหยียน ไม่ต้องถึงขั้นยั่วยุด้วยซ้ำ เพราะเพียงเท่านี้มันก็ห่างเหินมากพออยู่แล้ว
“ขอโทษ? เอาเถอะ ข้าจะรอฟัง ว่าพวกเจ้าจะขอโทษข้ายังไง” หยิ่นซู่ฮั่วมีท่าทีผ่อนคลายน่าดู
หมิงหรุ่ยกลับตกใจ เพราะบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะคิดถึงตอนนั้น มันก็มีแต่ความเครียดรุมเร้า
คิดไม่ถึงว่าซื่อจื่อเฟยจะกล้าพูดแบบนี้
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง?”
เสิ่นยู่หู่คิดถึงเรื่องที่ลูกๆ มาฟ้องนางเมื่อก่อนหน้านี้ หยิ่นซู่ฮั่วผู้นี้ไม่เหมือนเดิมจริงๆ
“ฮูหยิน คนที่บ้าไม่ใช่เจ้าหรือไง? ไม่ว่าข้าจะเป็นที่โปรดปรานในจวนหนิงอ๋องไหม แต่ก็เป็นถึงซื่อจื่อเฟยจวนหนิงอ๋อง เจ้าเป็นแค่แม่เลี้ยง ให้ข้าขอโทษบนท้องถนน นี่เจ้ากำลังท้าทายอำนาจจวนหนิงอ๋องอยู่หรือไง?”
ความทรงจำน้อยเนื้อต่ำใจในสมองหยิ่นซู่ฮั่วพวกนั้น ทำให้นางอยากฉีกผู้หญิงตรงหน้านางคนนี้เป็นชิ้นๆ
“หยิ่นซู่ฮั่ว เจ้าอย่าลืมล่ะ ถึงเจ้าจะเป็นซื่อจื่อเฟยที่สูงศักดิ์ แต่ถ้าไม่ได้บ้านฝั่งแม่คอยสนับสนุน เจ้าก็จะไม่ใช่อะไรทั้งนั้น”
เสิ่นยู่หู่มองออกแล้ว หยิ่นซู่ฮั่วคิดจะทุ่มสุดตัว
“บ้านฝั่งแม่? คนหนึ่งคือพ่อที่ฆ่าภรรยาหลวงเพราะโปรดปรานอนุ ส่วนอีกคนเป็นแม่เลี้ยงที่คลานมาจากเรือนหลัง ข้าต้องหวังให้พวกเจ้าเป็นกองหนุนให้ข้า? ผู้หญิงโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างเจ้า กล้าพูดถึงบ้านฝั่งแม่กับข้า ไม่กลัวตัวเองจะทำให้ท้องแม่ตัวเองกับจวนตระกูลเสิ่นต้องแปดเปื้อนบ้างหรือไง”
หลังโม่จวินเย่ที่อยู่บนรถม้าได้ยินมาถึงตรงนี้แล้ว เขาก็เสพติดกับมันสุดๆ
ซื่อจื่อเฟยผู้นี้มีนิสัยตรงจริตตัวเองจริงๆ
“ซื่อจื่อเฟยบ้าไปแล้ว? เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งทำตัวเหลวไหลกันแน่ หนิงอ๋องซื่อจื่อคนนั้นมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงปี เจ้าคิดว่าตำแหน่งซื่อจื่อเฟยของเจ้าคือเจริญรุ่งเรืองงั้นเหรอ? พอถึงตอนนั้น เจ้าเองก็คงยากจะหนีจากความตาย” เสิ่นยู่หู่กัดฟันด้วยท่าทีร้ายกาจสุดขั้ว
“ข้าจะอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่ คงไม่ใช่สิ่งที่ภรรยาคนที่สองอย่างเจ้าจะมาวิจารณ์หรอกนะ”
เพิ่งสิ้นเสียง ม่านบนรถม้าก็ถูกเลิกขึ้น ทันใดนั้นโม่จวินเย่ที่มีสีหน้าเปี่ยมบารมีก็เดินออกมา
ตอนเห็นหน้าเขา คนจวนเฉิงเซี่ยงต่างมึนงงไปในทันที
เสิ่นยู่หู่แทบอยากตบหน้าตัวเอง เพราะเมื่อครู่ใจร้อนไปหน่อย เลยพูดความคิดในใจที่ออกมา
ว่ากันว่าโม่จวินเย่ถูกฝ่าบาทและหนิงอ๋องเลี้ยงดั่งไข่ในหินมาตั้งแต่เด็ก มีนิสัยชอบเอาแต่ใจ เย็นชา เจ้าคิดเจ้าแค้น และสิ่งที่พวกเขาพูดไปเมื่อครู่ เขายังได้ยินทุกคำ
สีหน้าหยิ่นโฮ่วเหยียนเหมือนตับหมู เขายืนนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก
“ท่านพี่ เหมือนเมื่อกี้มีคนสาปแช่งท่านอยู่นะ……”
หยิ่นซู่ฮั่วไม่ลังเล รีบวิ่งไปตรงหน้าโม่จวินเย่ แล้วใช้แขนข้างหนึ่งประคองเขาเบาๆ
การกระทำที่ดูสนิทชิดเชื้อและเกิดอย่างกะทันหันเช่นนี้ เดิมทีโม่จวินเย่คิดจะสลัดมือออก
แต่พอคิดถึงคำพูดของพวกเขาสองคนเมื่อก่อนหน้านี้ ว่าต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บวกกับเมื่อครู่หยิ่นซู่ฮั่วเพิ่งถูกทำร้ายจากคนที่เรียกตัวเองว่าคนในครอบครัวพวกนี้แล้ว เขาก็พยายามอดทนอดกลั้น
เมื่อหยิ่นโฮ่วเหยียนเห็นว่าพวกเขารักใคร่กันถึงขนาดนี้ เขาก็รู้สึกช็อกยิ่งกว่าเดิม
เขาครุ่นคิด ซื่อจื่อคนนี้เหลือเวลาอีกไม่มาก สำหรับผู้หญิงที่กล้าแต่งกับเขาตอนนี้ ย่อมต้องรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่แล้ว
และรูปโฉมของหยิ่นซู่ฮั่ว ก็ไม่น่ามีใครในเมืองหลวงทัดเทียมได้แล้วล่ะ คนชีวิตสั้นคนหนึ่ง ก่อนตายได้มีคนคอยอยู่เคียงข้างเช่นนี้ แล้วเขาจะไม่พอใจได้อย่างไร?
แต่น่าเสียดายความพอใจนี่ เพราะยัยลูกเนรคุณหยิ่นซู่ฮั่วไปให้คำมั่นสัญญา เลยตัดความสัมพันธ์กับจวนเฉิงเซี่ยงของพวกเขา ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโหจริงๆ
“ใต้เท้าเฉิงเซี่ยง วันนี้ข้ากลับบ้านมาเป็นเพื่อนน้องหญิง แต่ดูจากท่าทางของพวกท่านแล้ว เหมือนจะไม่ค่อยอยากต้อนรับนะ”