บท
ตั้งค่า

บทที่ 13 ข้าทำให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

“ข้าจำได้ วันที่เจ้าเข้ามาในจวน เจ้าเคยสัญญาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะตัดความสัมพันธ์กับจวนเฉิงเซี่ยงน่ะ” โม่จวินเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เขาไม่ชอบคนที่คิดว่าตัวเองเป็นที่โปรดปรานแล้วทำตัวหยิ่งผยอง

ยิ่งไปกว่านั้น ซื่อจื่อเฟยคนนี้ ยังไม่ถึงขั้นโปรดปรานด้วยซ้ำ

“ในจวนเฉิงเซี่ยงยังมีของที่แม่ข้าทิ้งไว้ ข้าอยากไปเอากลับมา แบบนี้ถึงจะทำให้พวกเขาเลิกเพ้อฝันได้จริงๆ”

“แม่เจ้า?” แววตาโม่จวินเย่เปลี่ยนเป็นล้ำลึก

ความจริงแล้วชาติกำเนิดของพวกเขาสองคนคล้ายกันมาก ต่างสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก

หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้ว เขาก็พยักหน้ารับ จากนั้นตะโกนไปข้างนอกว่า “ทหาร!”

ผ่านไปไม่นาน องครักษ์หยางที่ออกไปจัดยาวันนี้ก็เข้ามา

“ซื่อจื่อ มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เขามีท่าทีเคารพยำเกรง เขาไม่ได้ปฏิบัติต่อโม่จวินเย่คนเดียวเท่านั้น แต่ยังปฏิบัติต่อหยิ่นซู่ฮั่วด้วย

เพราะหยิ่นซู่ฮั่วเป็นคนช่วยชีวิตองครักษ์ฉู่ เรื่องนี้ฉีโป๋เหิงบอกให้พวกเขาฟังจนกระจ่างแจ้งแล้ว

“ไปเตรียมการหน่อย พรุ่งนี้เช้า พวกเราจะไปจวนเฉิงเซี่ยง”

องครักษ์หยางนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หลังเห็นหยิ่นซู่ฮั่วมีท่าทีนิ่งเงียบ ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ถามอะไร หลังขานรับแล้วก็ถอยออกไปทันที

บรรยากาศในห้องพลันดูแตกต่างออกไป หากบอกว่าเมื่อคืนพวกเขาร่วมหอกันอย่างงุนงง งั้นคืนนี้พวกเขาก็ทำกันแบบมีสติเต็มร้อยแล้วล่ะ

โม่จวินเย่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุข หยิ่นซู่ฮั่วเองก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร

“วิชาแพทย์ของเจ้า ไปเรียนมาจากใคร?” โม่จวินเย่กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

“นี่เป็นความลับของข้า ตอนนี้ยังไม่อยากบอกซื่อจื่อ” หยิ่นซู่ฮั่วพูดตรงๆ

โม่จวินเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วเองก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

เพราะยังไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้ ถึงจะเป็นหนิงอ๋อง สำหรับคำถามของเขา หากไม่อยากบอกเสด็จพ่อก็จะปฏิเสธแบบอ้อมๆ

การพูดตรงๆ อย่างนาง มันนับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเขาเลย

“ท่านซื่อจื่อ ไม่กลับไปพักผ่อนเหรอ?” หยิ่นซู่ฮั่วกล่าว

เมื่อเห็นโม่จวินเย่กำลังเหม่อลอย นางก็เอ่ยเตือน

เหมือนนางจะไปกระตุ้นความคิดบางอย่าง โม่จวินเย่เลยปฏิเสธ “นี่ห้องหอของข้า แล้วเจ้าอยากให้ข้าไปที่ไหน?”

“แน่นอนว่าต้องกลับเรือนของท่าน ไม่ว่ายังไงท่านก็ไม่ได้พอใจกับงานแต่งนี้อยู่แล้ว ท่านไม่ชอบข้า ข้าเองก็ไม่ชอบท่าน วันหน้าเราก็ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกัน ส่วนเวลาที่ต้องการกัน ก็ช่วยเหลือกันสักนิดสักหน่อย แบบนี้ดีออกไม่ใช่หรือไง?”

นางพูดได้ตรงไปตรงมามาก ทำให้โม่จวินเย่ที่ไม่ชอบคนพูดจาอ้อมค้อมมาโดยตลอดรู้สึกนับถือ

ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนใครจริงๆ

“ข้าอยากอยู่ที่ไหน ต้องให้เจ้าอนุญาตก่อนหรือไง” หลังจากพูดจบ โม่จวินเย่ก็รู้สึกว่าบรรยากาศเมื่อครู่ของตัวเองไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่

หยิ่นซู่ฮั่วเลยช่วยสะกิด “ท่านซื่อจื่อ ท่านกำลังรู้สึกว่า เมื่อกี้พวกเราเหมือนสามีภรรยาที่กำลังเถียงกันใช่ไหม?”

คำพูดประโยคนี้ฟังดูเย้าแหย่หน่อยๆ

โม่จวินเย่ไม่ได้ขานรับ และไม่รู้จะโต้กลับอย่างไร

อย่างไรเสียหยิ่นซู่ฮั่วก็ยังสง่าผ่าเผย นางเพียงอยากเปิดเผยความคิดเมื่อครู่ของตนเอง และสำหรับท่านซื่อจื่อที่รูปงามผู้นี้ นางไม่ได้คิดอะไรเกินเลยด้วยจริงๆ

บางทีความรู้สึกอาจพอบ่มเพาะได้ แต่นางไม่มีทางยอมร่วมหอกับผู้ชายที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียวได้

โม่จวินเย่ไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ กลับกันยังกล่าวถึงเรื่องฉีโป๋เหิงแทน

“คุณชายฉีคนนั้นบอกว่า วิชาแพทย์ของเจ้าอาจอยู่สูงกว่าของเขา”

“ท่านซื่อจื่อเชื่อไหมล่ะ?” หยิ่นซู่ฮั่วไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ

เวลาผู้เชี่ยวชาญออกโรง ทุกคนย่อมมองออก

“เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?” คำตอบของโม่จวินเย่ไม่ได้ฟังดูหนักแน่นนัก

“ท่านซื่อจื่อ ท่านเชื่อจริงๆ เหรอว่าท่านอายุสั้นน่ะ?”

หยิ่นซู่ฮั่วมานั่งฝั่งตรงข้ามเขา พลางรินชาให้ตัวเอง

ท่าทางผ่าเผยเป็นธรรมชาติของนาง และยังมีแสงเทียนนั่นอีก แก้มที่เปล่งปลั่งนั่น ทำให้โม่จวินเย่เสียอาการหน่อยๆ

หลังเงียบนิ่งไปครู่หนึ่งแล้ว เขาก็ดึงสติกลับมาได้ “หมายความว่าอะไร?”

“ถ้าข้าบอกว่า ข้าทำให้ท่านซื่อจื่อมีชีวิตอยู่ต่อได้ล่ะ?”

ตอนแรกโม่จวินเย่เผยแววตาประหลาดใจ แต่แล้วต่อมาก็รู้สึกว่ามันน่าขัน

“เจ้าคิดว่า คุณชายฉีชมเจ้าแล้ว ข้าจะเชื่อจริงๆ เหรอว่า เจ้ามีความสามารถแย่งตัวคนคนหนึ่งออกมาจากมือยมบาลได้น่ะ?”

ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เขาคิดว่าซื่อจื่อเฟยผู้งดงามตรงหน้าคนนี้ อาจใช้งานสมองไม่ได้เป็นระยะๆ

“วิชาแพทย์ของข้า ข้าย่อมรู้ดี ตอนนี้ยังไม่อยากให้คนนอกรู้ ท่านซื่อจื่อเองก็คงคิดแบบนี้ใช่ไหมล่ะ?”

โม่จวินเย่คิดไม่ถึง ว่านางจะคิดไปในทางเดียวกันกับตัวเอง

“ข้าสั่งการลงไปแล้ว ห้ามพวกเขาพูด แม้แต่โป๋เหิง ก็ห้ามเปิดเผยให้ใครรู้เหมือนกัน”

“แบบนั้นก็ดี”

โม่จวินเย่ยกชาขึ้นจิบ ก่อนจะค่อยๆ วางกลับไป

“เจ้าคิดว่า แต่งงานขจัดสิ่งอัปมงคลได้ผลกับข้าไหม?”

“แน่นอนว่าไม่ได้ผลอยู่แล้ว” หยิ่นซู่ฮั่วตอบอย่างไม่คิดเลยสักนิด

โม่จวินเย่กลับรู้สึกสนใจในตัวนาง “ดังนั้น คำพูดเมื่อกี้ของเจ้า มันหมายความว่าอะไร?”

“แต่งงานขจัดสิ่งอัปมงคลไม่ได้ผล แต่ข้าได้ผล ข้ารักษาท่านได้ ท่านซื่อจื่อท่านกล้าเชื่อไหมล่ะ?”

ดวงตาโม่จวินเย่เป็นประกายครู่หนึ่ง การมีชีวิตอยู่ต่อย่อมเป็นเรื่องดี แต่ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ เหมือนจะไม่มีปัญญาให้ความหวังนี้กับเขานะ

ตัวเองร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก เสด็จพ่อกับฝ่าบาทใช้ความพยายามไปไม่น้อย ตามหาหมอชื่อดังมามากมาย แต่ก็ยังไม่มีใครทำให้เขาหายดีได้ และได้แต่มองร่างกายของเขาทรุดตัวลงทุกวัน

ว่ากันว่าบุตรีเอกเฉิงเซี่ยงที่ไม่เป็นที่โปรดปรานตรงหน้าคนนี้ โง่เขลาราวกับหมู ครองตำแหน่งซื่อจื่อเฟยได้เพียงเปลือกนอก ทว่าบัดนี้กลับมาพูดกับตัวเองแบบนี้ด้วยสายตาที่แน่วแน่ เกรงว่าแม้แต่หมอชื่อดังพวกนั้น ก็คงไม่ยอมซูฮกเหมือนกัน

“ซื่อจื่อสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด หากไม่มีหมอชื่อดังคอยประคับประคอง ก็คงตายไปนานแล้ว ท่านผ่านช่วงหลายปีนี้มาได้ ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว คาดว่าท่านคงจำคำพูดพวกนี้ได้ขึ้นใจแล้วซิท่า?” หยิ่นซู่ฮั่วมองสีหน้าโม่จวินเย่ บวกกับข่าวลือที่นางได้ยินมาเมื่อก่อนหน้านั้น เลยกล่าวออกมาได้อย่างใจเย็น

โม่จวินเย่เองก็ไม่ได้ประหลาดใจ เพราะเรื่องที่หมอมารักษาตัวเองในช่วงหลายปีมานี้ ทุกคนย่อมรู้กันอยู่แล้ว

“ดังนั้น เจ้าอยากให้ความหวังข้า แล้วจากนั้นก็ทำให้ข้าผิดหวังงั้นซิ?” เขายังคงมีท่าทางสงบนิ่ง

ยิ่งได้รู้จักกับหยิ่นซู่ฮั่ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนกับในข่าวลือสักเท่าไหร่

“ในเมื่อตอนนี้เราเป็นสามีภรรยากันแล้ว และไม่ต้องสนใจชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดอะไรนั่น ซื่อจื่อจะให้ข้าลองจับชีพจรท่านได้ไหมล่ะ?”

หยิ่นซู่ฮั่วมีความเป็นมืออาชีพสุดๆ นางไม่ได้ตัดสินในทันที

นี่เป็นความรับผิดชอบที่นางมีต่อโม่จวินเย่ และเป็นความรับผิดชอบที่ตนมีต่อวิชาแพทย์ของตัวเองด้วย

โม่จวินเย่เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะมีคนตั้งเท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่เคยตรวจชีพจรให้ตัวเอง

เขายื่นข้อมือออกมาวางไว้ตรงนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ

“ในเมื่อสงสัย งั้นก็ลองดูเถอะ”

หยิ่นซู่ฮั่วเองก็ไม่ได้ทำตัวดัดจริต นางจัดของบนโต๊ะพักหนึ่ง พวกมันจะได้ไม่มาขัดแข้งขัดขาตัวเอง

ทันใดนั้นสีหน้าท่าทางของนางก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน โดยเฉพาะแววตา มันเปลี่ยนเป็นจริงจังเคร่งขรึม เรื่องนี้ทำให้โม่จวินเย่ถึงกับรู้สึกประหลาดใจ

เขายังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร หยิ่นซู่ฮั่วก็วางนิ้วที่อุ่นเล็กน้อยของนางบนข้อมือของตนเองแล้ว

เมื่อเห็นหยิ่นซู่ฮั่วจะมีท่าทีคล้ายหมอชื่อดังพวกนั้นแล้ว โม่จวินเย่กลับไม่ได้รู้สึกตั้งตาคอยแต่อย่างใด

เพราะถึงจะมาอีกร้อยคน อาการป่วยของตัวเองก็ยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปไหน

“เป็นอย่างที่คิด มีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งปีจริงๆ”

หลังหยิ่นซู่ฮั่วลองจับชีพจรโม่จวินเย่แล้ว นางก็กล่าวออกมาอย่างปลงตก

โม่จวินเย่ดึงมือกลับมา สีหน้าไม่ได้ดูเคร่งเครียด เพราะเขารู้ผลลัพธ์นี้นานแล้ว

เมื่อเห็นเขานิ่งเงียบไม่ได้ดูมีความหวัง หยิ่นซู่ฮั่วก็กล่าวว่า “ดูจากชีพจร มีเวลาเหลืออยู่ไม่มากจริงๆ แต่นั่นเป็นเพราะยังไม่ได้มาเจอข้า”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel