บทที่ 11 ซื่อจื่อเฟยออกโรง
หยิ่นซู่ฮั่วและหมิงหรุ่ยยืนคอยอยู่ที่เดิม องครักษ์ที่พวกนางเพิ่งชนเมื่อครู่ นางเองก็ไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้คนอื่น
เพียงแต่หลังลองอ่านเทียบยาที่เก็บขึ้นมาได้แล้ว นางก็เอ่ยถามเขาสั้นๆ
ทว่าเหมือนองครักษ์คนนั้นจะกลัวนางทำเสียเวลา ดังนั้นเลยไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่ดีสักเท่าไหร่
หยิ่นซู่ฮั่วไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
สำหรับพวกคนที่ล่วงเกินตัวเองเมื่อก่อนหน้านั้น พวกเขาทำไปเพราะตาต่ำมองเหยียดผู้อื่น ส่วนพี่หยางคนนี้ทำไปเพราะกำลังช่วยชีวิตคน
และกิริยาท่าทางของพวกเขาก็น่าจะได้มาจากโม่จวินเย่
ขอแค่เขาไม่ยอมรับตัวเอง องครักษ์ใต้บัญชาเขาก็ไม่มีทางยอมรับนางจากใจจริง
ตอนองครักษ์มาบอกว่าโม่จวินเย่เรียกนางไปพบ นางไม่ได้รู้สึกประหลาดใจสักเท่าไหร่
“ซื่อจื่อเฟย จะไม่มีอะไรใช่ไหมเพคะ?” หมิงหรุ่ยค่อนข้างกังวล
“ไม่ต้องกลัว” หยิ่นซู่ฮั่วรักษาท่าทีนิ่งขรึม
องครักษ์กล่าว “ซื่อจื่อเฟย เชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ท่าทางของเขากลับดูเคารพมากๆ
คาดว่าคงเหมือนกับคนอื่น พวกเขาไม่อยากสร้างปัญหาให้โม่จวินเย่ ถึงได้ทำตัวสุภาพกับตัวเองเช่นนี้
หยิ่นซู่ฮั่วเองก็ไม่ได้บ่น เพียงเดินตามหลังเขา นางเดินอยู่ภายในจวนด้วยฝีเท้าที่มั่นคงมาก
ถึงเรือนของโม่จวินเย่แล้ว เรือนหลังนี้นับว่าหรูหราโอ่อ่ามากจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นศาลา ภูเขาจำลอง หรือธารน้ำสายคดเคี้ยว ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายทั้งนั้น
“ท่านซื่อจื่อ ท่านอยากเจอข้าเหรอ?”
หยิ่นซู่ฮั่วเห็นสีหน้าโม่จวินเย่ไม่ดีเท่าไหร่ แต่นางก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ทว่าหลังคุณชายฉีที่อยู่ด้านข้างเห็นรูปโฉมของหยิ่นซู่ฮั่วแล้ว กลับตกตะลึงไปในทันที
จวนเฉิงเซี่ยงถึงกับส่งบุตรีเอกที่งดงามขนาดนี้มาแต่งงานขจัดสิ่งอัปมงคล นี่มันเสียของชัดๆ
ทว่าตัวเขาเองก็คิดแค่ในใจ ไม่ได้เปิดเผยออกมา
โม่จวินเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ได้ยินว่าวันนี้เจ้าน่าเกรงขามมาก หลังจัดการพระชายาเสร็จแล้ว ก็ยังมาขวางองครักษ์ของข้า ทำให้เขาเสียเวลาอีก?”
“ตัวเขาเดินถือเทียบยามาไม่ดีเอง ข้าก็อ่านแค่แวบเดียว แล้วก็ถามไปแค่ประโยคเดียว แล้วจะเรียกขวางทางเขาได้ยังไง?” หยิ่นซู่ฮั่วไม่ได้กระวนกระวาย ความจริงแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเรียบง่ายมาก
โม่จวินเย่หันไปมององครักษ์ที่มารายงาน จากท่าทางของเขาแล้ว เขารู้ทันทีว่าหยิ่นซู่ฮั่วพูดถูกทุกอย่าง
“เรื่องอะไรที่ไม่เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องถาม ทำให้คนอื่นเสียเวลา มันเอาชีวิตคนได้นะ”
สำหรับซื่อจื่อเฟยคนนี้ ตัวเองยังคิดจะไว้หน้านางอยู่บ้าง
ถ้าเป็นคนของพระชายา ป่านนี้คงโดนซ้อมไปแล้ว
แต่กิริยาที่หยิ่นซู่ฮั่วแสดงออกมา กลับอยู่เหนือความคาดหมายของเขาอีกครั้ง
“โรคบาดทะยัก ถ้าไม่ได้ฉีดสารภูมิต้านทานให้ทันที สมุนไพรจากร้านยาพวกนั้น จะช่วยบรรเทาอาการเท่านั้น ตราบใดที่พิษยังซึมเข้าร่างกาย เบาหน่อยต้องตัดแขนขา แต่ถ้าหนักก็ถึงชีวิต”
ข้อวินิจฉัยนี้ เหมือนสิ่งที่คุณชายฉีกล่าวไว้ไม่มีผิด
คุณชายฉีที่อยู่ด้านข้างเลยค่อนข้างประหลาดใจ
ดูจากท่าทาง ซื่อจื่อเฟยผู้นี้รู้วิชาแพทย์งั้นเหรอ?
โม่จวินเย่ย้อนไปคิดถึงเข็มที่นางใช้กับตัวเองเมื่อคืน เขาเริ่มเข้าใจแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ซื่อจื่อเฟยของเขาคนนี้ น่าจะเป็นพวกแสร้งทำเป็นอ่อนแอให้ศัตรูตายใจ เป็นไปได้มาว่าเรื่องที่พวกเขาสืบมาได้ก่อนหน้านั้น อาจไม่ใช่เรื่องจริง
“เจ้าไปฟังเรื่องพวกนี้มาจากใคร?” โม่จวินเย่เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์
“ก็เห็นอยู่ว่าเทียบยานั่นใช้ไล่ลมขจัดพิษ ใช้กับโรคบาดทะยักระยะแรก แต่ดูจากท่าทางรีบร้อนขององครักษ์คนเมื่อกี้แล้ว ตอนนี้คนที่ต้องใช้ยาพวกนั้น น่าจะอาการสาหัสพอตัว”
คุณชายฉีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม ซื่อจื่อเฟยผู้นี้มีความรู้อย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ
“ข้าชื่อฉีโป๋เหิง พอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ฟังจากคำพูดเมื่อกี้ของซื่อจื่อเฟย เหมือนท่านจะรู้จักโรคบาดทะยักเป็นอย่างดีนะขอรับ”
เขาทำมือคำนับ ไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกชื่นชมของตัวเองไว้ได้
หลังได้ยินชื่อนี้ หยิ่นซู่ฮั่วก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นใคร
หลานชายหัวหน้าหมอหลวง นับว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลยทีเดียว
ดูจากท่าทาง เหมือนเขากับโม่จวินเย่จะสนิทกัน
“พอรู้ถูๆ ไถๆ ไม่ได้เก่งอะไรมาก ท่านซื่อจื่อ ให้ข้าไปดูคนป่วยได้ไหม?”
หลังได้ยินคำพูดพวกนี้ของหยิ่นซู่ฮั่ว โม่จวินเย่ก็รู้ว่านางเตรียมตัวมาล่วงหน้า
ซื่อจื่อเฟยที่ไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง หากคิดจะมีที่ยืนในจวน ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องพึ่งพาอาศัยตัวเอง
ในเมื่อนางอยากแสดงความสามารถ งั้นตัวเองก็จะลองให้โอกาสนาง
พวกองครักษ์กลับไม่วางใจ เพราะแม้แต่คุณชายฉีก็ยังจนปัญญา แล้วผู้หญิงยิงเรืออย่างซื่อจื่อเฟย ลูกสาวที่ถูกจวนเฉิงเซี่ยงทอดทิ้งคนหนึ่ง จะทำอะไรได้?
นางคงอยากอาศัยเรื่องนี้ ทำให้ท่านซื่อจื่อยอมมองนางใหม่กระมัง
ไม่ว่าอย่างไรโรคบาดทะยักนี่ก็ไม่มีวิธีรักษา เมื่อครู่คุณชายฉีเองก็กล่าวแล้ว ว่าชะตาขึ้นอยู่กับสวรรค์ ซื่อจื่อเฟยต้องได้ยินคำพูดพวกนี้ ถึงได้กล้ามาหาเรื่องขายขี้หน้าที่นี่ เพราะหากรักษาไม่ได้ ท่านซื่อจื่อก็จะไม่ตำหนิ กลับกันจะรู้สึกว่านางมีน้ำใจและโอบอ้อมอารีแทน
ด้วยสภาพอารมณ์แบบนี้ ทำให้พวกเขาไม่อยากปล่อยให้หยิ่นซู่ฮั่วไปดูคนป่วย
“ซื่อจื่อเฟย อาการของพี่ฉู่ไม่เบา อย่าไปรบกวนเขาจะดีกว่า”
หยิ่นซู่ฮั่วมององครักษ์ที่พูด แล้วถามว่า “เจ้ามั่นใจได้ยังไง ว่าข้าไม่มีวิธีรักษาเขา?”
“คุณชายฉียังไม่มั่นใจ แล้วซื่อจื่อเฟยจะไปทำดีหวังผลเพื่ออะไร?”
แม้ว่าคำพูดของเขาจะหยาบคาย แต่โม่จวินเย่ก็ไม่ได้คิดจะห้ามปราม
แม้แต่หมิงหรุ่ยที่เดินตามมาข้างหลัง ก็ยังรู้สึกว่าคำพูดนี้มันแรงเกินไป
หยิ่นซู่ฮั่วหวังดีจะมาช่วยเหลือ พวกเขาไม่รับน้ำใจก็ช่างเถอะ แต่ยังมาแขวะกันแบบนี้อีก
“ถึงข้าจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่อาการของเขาจะเลวร้ายไปกว่านี้หรือไง? หรือข้าไปดูแค่แปปเดียว เขาก็จะหมดหนทางรักษาแล้วจริงๆ?” หยิ่นซู่ฮั่วค่อนข้างมีน้ำโห
ทันใดนั้นองครักษ์ก็มีหัวกบฏ “ซื่อจื่อเฟยโปรดระวังคำพูด ถ้าพี่ฉู่เป็นอะไรขึ้นมา มันจะส่งผลดีอะไรกับท่าน?”
“แล้วที่เจ้ามาทำให้เสียเวลาอยู่แบบนี้ มันส่งผลดีอะไรกับเจ้า? เจ้าทำให้ข้าเสียเวลามากเท่าไหร่ ชีวิตของเขาก็จะเสี่ยงขึ้นเท่านั้น” หยิ่นซู่ฮั่วเริ่มหัวแข็งขึ้นอีกหน่อย ทว่าไม่ได้แสดงท่าทีก้าวร้าว
นางไม่อยากถูกคนดูถูก และไม่อยากดูถูกคนอื่นด้วย
ไฟโทสะในใจองครักษ์ลุกโชน เขาหันมามองโม่จวินเย่
โม่จวินเย่พยักหน้ารับเบาๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม องครักษ์ถึงได้ยอมนาง
ทว่าเขาก็ยังพูดต่ออีกหน่อย “ถ้าซื่อจื่อเฟยแค่อยากให้ในใจท่านซื่อจื่อมีท่าน ข้าแนะนำให้คิดหาทางอื่นเถอะ ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตของคนอื่นมาล้อเล่น”
หยิ่นซู่ฮั่วเหลือบมองเขาเล็กน้อย แต่แววตากลับดุดัน
สมัยก่อนตอนนางวินิจฉัยโรค นางเคยเจอญาติผู้ป่วยที่ไม่เข้าใจแต่ทำเป็นเข้าใจแบบนี้มาก่อน นางเองก็อยากจะยกมือไปตบบ้องหูเขาสักป๊าบเหมือนกัน
ไม่สนใจองครักษ์ ทันใดนั้นหยิ่นซู่ฮั่วก็ผลักประตู เห็นองครักษ์ฉู่ที่กำลังนอนขดตัวด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าบวมเป่ง และฝืนยิ้มอันขมขื่นและแปลกประหลาดอยู่ในห้องนั้น
เพราะมีคุณชายฉีอยู่ นางเลยเชื่อว่าบาดแผลคงได้รับการฆ่าเชื้อแล้ว
ทันใดนั้นนางก็ไม่พูดไม่จา รีบหยิบสารภูมิต้านทานบาดทะยักออกมาจากห้วงมิติ แล้วเดินเข้าไปหาองครักษ์ฉู่
เมื่อองครักษ์คนเมื่อครู่เห็นภาพนี้แล้ว เขายังคงคิดจะเข้าไปขวางนางอีกรอบ
“หยุดเดี๋ยวนี้ นี่คืออะไร?”
หยิ่นซู่ฮั่วกลอกตาใส่เขา ท้ายที่สุดนางก็เค้นเสียงดุเขา “ถ้าไม่อยากให้เขาตาย ก็รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
องครักษ์ตกใจ พร้อมกันนั้นเองเข็มในมือหยิ่นซู่ฮั่ว ก็ฉีดยาเข้าสู่ร่างกายองครักษ์ฉู่ได้อย่างราบรื่น
ตอนลุกขึ้นยืน นางรีบโยนเข็มที่ใช้เสร็จแล้วเข้าห้องปฏิบัติการ
หมิงหรุ่ยคิดว่าตัวเองตาฝาด เมื่อครู่ซื่อจื่อเฟยเอาเจ้าสิ่งนั้นมาจากที่ไหน แล้วเก็บมันกลับไปที่ไหน?
หยิ่นซู่ฮั่วไม่ได้สนใจองค์รักษที่เข้าไปตรวจว่าองครักษ์ฉู่ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า และไม่ได้สนใจหมิงหรุ่ยที่กำลังตกตะลึง นางเอ่ยถามโม่จวินเย่ตรงๆ “ท่านซื่อจื่อ ถ้าข้ารักษาเขาหาย ข้าอยากทำข้อตกลงกับท่าน”