บทที่ 10 โรคบาดทะยัก
แววตาหยิ่นซู่ฮั่วถึงกับเปลี่ยนไป เดิมทีคิดว่าคนที่อยู่กับแม่ในสมัยนั้น ต่างล้มหายตายจากไปหมดแล้ว
คิดไม่ถึงว่าในจวนจะมีโจวมามาอยู่อีกคน
“คนพวกนั้น ไม่ได้ถูกขายออกไปหมดแล้วเหรอ?” หยิ่นซู่ฮั่วไม่กล้าเชื่อสักเท่าไหร่
“บ่าวเองก็บังเอิญไปเจอโจวมามา ตอนนั้นนางกำลังถูกสาวใช้และหญิงแก่กลุ่มนั้นรังแก สถานการณ์ในตอนนั้น บ่าวทนดูต่อไม่ไหว นางอยู่ในจวนเฉิงเซี่ยงก็เพื่อปกป้องซื่อจื่อเฟย แต่นางไม่ให้บ่าวบอกท่าน บอกว่าตอนนี้นางจะเพิ่มภาระให้ซื่อจื่อเฟยเปล่าๆ ขอแค่เห็นท่านมีชีวิตอยู่ดีก็เพียงพอแล้ว นางจะได้ลงไปอธิบายกับท่านฮูหยินได้เพคะ”
คำพูดของหมิงหรุ่ย ทำให้หยิ่นซู่ฮั่วแทบน้ำตาตก
คนที่แยกแยะความรักและความเกลียดชังได้ชัดเจนเท่าไหร่ ก็จะซาบซึ้งใจกับเรื่องประเภทนี้ได้ง่ายมากเท่านั้น
“ดังนั้น ทำไมตอนนั้นแม่ข้าถึงดึงดันจะแต่งเข้าจวนเฉิงเซี่ยงให้ได้ล่ะ?”
เรื่องนี้ หยิ่นซู่ฮั่วคิดไม่ตกมาโดยตลอด
“เรื่องนี้บ่าวเองก็ไม่แน่ใจ น่าจะมีแค่โจวมามาเท่านั้นที่จะบอกซื่อจื่อเฟยได้เพคะ”
หยิ่นซู่ฮั่วมองหมิงหรุ่ย ความจริงนางเองก็ค่อนข้างเศร้า
เมื่อเทียบกับตัวเองแล้ว แม้นางจะมีอายุพอๆ กัน แต่ก็เป็นแค่เด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น
ในปีที่ท่านแม่เสียชีวิต ตอนนั้นนางไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ นั่นแหละ
“เดิมทีว่าจะไม่ไปมาหาสู่กับจวนเฉิงเซี่ยงแล้ว ดูท่า กฎสามวันกลับบ้านนั่น ข้าต้องทำตามหน่อยแล้ว กลับไปอีกสักรอบ”
นางตัดสินใจแล้ว ว่าจะช่วยโจวมามาออกมาให้ได้
โม่จวินเย่วางมือไว้บนโต๊ะ พร้อมกับสีหน้าที่เรียบนิ่ง
“เจ้าเองก็คิดว่าข้าไม่เป็นอะไร?”
เขาสงสัย ว่าสิ่งที่หยิ่นซู่ฮั่วแทงเข้าไปในร่างกายตัวเองคืออะไรกันแน่
ถ้านั่นเป็นแค่เข็มสกัดจุด จะไม่มีฤทธิ์ทำจนเขาสลบได้อย่างแน่นอน
ตอนนั้นตัวเขาเองก็จำได้ขึ้นใจ ว่าเรี่ยวแรงของตัวเองค่อยๆ หายไปทีละนิดๆ จากนั้นถึงได้หมดสติ
คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา มีผิวพรรณขาวผ่อง บุคลิกสง่างาม แต่โครงหน้ากลับดูอ่อนโยน ทำให้คนรู้สึกเป็นมิตร
เหมือนในดวงตาของเขาจะซ่อนดวงดาราเอาไว้ ทำให้ผู้คนที่พบเห็นอารมณ์ดีขึ้นทันตา
คนผู้นี้ก็คือคุณชายฉีที่องครักษ์กล่าวถึงเมื่อครู่
“ใช่ นอกจากหัวใจจะเต้นไวแล้ว ชีพจรก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ” คุณชายฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
แววตาโม่จวินเย่พลันดูลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม “มันมีวิชาฝังเข็ม ที่พอฝังไปโดนจุดใดจุดหนึ่งแล้ว จะทำให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรง แล้วจากนั้นก็สลบได้ไหม?”
“ไม่มี”
คุณชายฉีตอบกลับอย่างเรียบง่าย
แต่โม่จวินเย่กลับคิดไม่ตกยิ่งกว่าเดิม ดูท่าหยิ่นซู่ฮั่วผู้นี้จะพอมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ
ระหว่างที่พวกเขากำลังจะคุยต่อ จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตู
ต่อจากนั้น ก็มีองครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามาอย่างลนลาน
“ซื่อจื่อ พี่ฉู่เขาแปลกไปพ่ะย่ะค่ะ……”
โม่จวินเย่ดึงมือกลับด้วยท่าทีใจเย็น ก่อนจะเอ่ยถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
“ไม่ว่าข้าน้อยจะพูดอะไรกับเขา เขาก็จะเอาแต่ฝืนยิ้ม ตอนนี้แม้แต่กลืนยังทำได้ยาก และยังไอตลอด……เดิมทีพวกเราคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อาจเป็นแค่หวัด แต่ตอนนี้ตัวเขากำลังกระตุก และลงไปนอนดิ้นกับพื้น……”
แววตาคุณชายฉีเปลี่ยนไป “จริงงั้นเหรอ?”
“รบกวนคุณชายฉีไปดู……”
โม่จวินเย่ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าข่าวนี้ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขา
“ในเมื่อข้ามาแล้ว ก็ไม่มีทางยืนมองเฉยๆ แต่……”
คุณชายฉีหันไปมองโม่จวินเย่ที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะกลืนคำพูดที่เหลือกลับเข้าท้อง “ยังไงก็ไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
โม่จวินเย่เองก็ไม่ได้เสียเวลา รีบบอกให้คนนำทางทันที
ณ ห้องพักองครักษ์ ตอนนี้มีองครักษ์สองสามคนกำลังล้อมรอบคนคนหนึ่งเอาไว้ เพราะดูเหมือนเขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้ และใบหน้ายังปูดบวม จนจำโครงหน้าเดิมของเขาไม่ได้แล้ว
สถานการณ์ของเขาในเวลานี้ เลวร้ายยิ่งกว่าที่องครักษ์เพิ่งอธิบายไปซะอีก ริมฝีปากแห้ง จนอยู่ในสภาวะขาดน้ำ
คาดว่าน่าจะกลืนลำบาก บวกกับการหายใจถี่ๆ ส่งผลให้รับประทานอาหารไม่ได้
“ถวายบังคมท่านซื่อจื่อ คุณชายฉี”
“คนล่ะ?”
โม่จวินเย่ไม่ได้เสียเวลากับพวกเขา เพราะเวลาคือทุกอย่าง
ทุกคนเลยเปิดทาง หลังพี่ฉู่ที่นอนอยู่ข้างในเห็นโม่จวินเย่แล้ว ก็คิดจะลุกขึ้นมาทำความเคารพ แต่เพราะเคลื่อนไหวตัวลำบาก เขาเลยไม่อาจขยับตัวทำอะไรได้
“นอนดีๆ ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด!” น้ำเสียงโม่จวินเย่เคร่งขรึมมาก
คุณชายฉีเผยแววตาประหลาดใจ นี่ปล่อยให้เป็นถึงขั้นนี้เลยเหรอ
เขาคิดว่าสิ่งที่ตัวเองกังวลเมื่อก่อนหน้านี้ กลายเป็นเรื่องจริงแล้ว
ยังไม่ทันได้ตรวจชีพจร เขาก็ถามออกมาตรงๆ ว่า “แผลบนตัวเขาอยู่ตรงไหน?”
พวกองครักษ์หันมามองหน้ากัน ในที่สุดก็มีคนคิดออก แผลของพี่ฉู่อยู่ที่ขา
“เป็นใบ้หรือไง?” เห็นได้ชัดว่าโม่จวินเย่เริ่มหัวร้อน
“ท่านซื่อจื่อ คุณชายฉี แผลของพี่ฉู่อยู่ที่ขาพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ได้ร้ายแรงมาก ดังนั้นวันนั้นเลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ”
“เหลวไหล……” สีหน้าที่เคยอ่อนโยนของคุณชายฉี พลันเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลอย่างที่หาได้ยาก
“เอากรรไกรมา”
ทันใดนั้นเขาก็ลงมือตัดขากางเกงของพี่ฉู่
บริเวณนั้นมีแผลขนาดไม่ใหญ่มาก แม้ภายนอกจะดูเหมือนทำแผลแล้ว แต่ก็ยังมีรอยบวมแดงและน้ำหนองให้เห็น
“รีบช่วยทำความสะอาดแผลให้เขา แล้วไม่ต้องพันแผลแล้ว”
คุณชายฉีออกคำสั่งกับพวกองครักษ์ด้วยท่าทีใจเย็น
“ขอรับ พวกเราจะทำเดี๋ยวนี้”
โม่จวินเย่มองสีหน้าคุณชายฉี เขารู้ทันทีว่าเรื่องราวมันไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น
ต่อหน้าพวกองครักษ์ เขาไม่ได้ถามอะไร
ผ่านไปไม่นานคุณชายฉีก็เขียนเทียบยาเสร็จ โม่จวินเย่มองกระดาษ มันมีฝางเฟิง ต่านหนานเลี่ยง ไป๋ฟู่จื่อ และยังมีสมุนไพรจำพวกเชียงฮั่ว ไป๋จื่อ เทียนหมา พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรขจัดความชื้นไล่ลม
พวกองครักษ์รีบถือเทียบยาไปหายา ส่วนคุณชายฉีตามโม่จวินเย่กลับมาที่เรือนเล็ก
“ร้ายแรงมากเลยเหรอ?” ในที่สุดโม่จวินเย่ก็เริ่มพูด
“อื่อ โรคบาดทะยัก”
คำพูดแค่ไม่กี่วลีนี้ ทำให้โม่จวินเย่เงียบนิ่งไปในทันที
“ข้าสั่งยาขจัดความชื้น และบรรเทาอาการเกร็งกระตุกให้เขาแล้ว ส่วนตัวคน ต้องขึ้นอยู่กับสวรรค์แล้ว เบาหน่อยคือตัดขา แต่ถ้าร้ายแรงก็ถึงชีวิต”
คุณชายฉีบอกผลลัพธ์ที่พอเป็นไปได้กับโม่จวินเย่
โม่จวินเย่ไม่พูดอยู่พักใหญ่ ตอนนี้แววตาเขากำลังขุ่นมัว
หลังผ่านไปได้พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เริ่มกล่าวว่า “ไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอ?”
“เขาปล่อยให้เป็นมานานเกินไป วิธีทำแผลในตอนนั้นก็ไม่ถูกต้อง ตอนนี้พิษกระจายแล้ว ถึงจะเป็นปู่ของข้า ก็จนปัญญาเหมือนกัน โรคบาดทะยักนี่ เป็นโรคที่รักษายากในแคว้นเราอยู่แล้ว คิดไม่ถึง ว่าเขาจะมาเป็น”
“ถ้าจะรักษาชีวิตเขาไว้ เจ้ามั่นใจเท่าไหร่?”
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวัง
คุณชายฉีได้แต่ถอนหายใจ “บอกตามตรง ไม่มั่นใจเลย”
ทันใดนั้นก็มีเสียงจากข้างนอกมาขัดบทสนทนาพวกเขาอีกครั้ง
“ท่านซื่อจื่อ เมื่อกี้พี่หยางไปเจอซื่อจื่อเฟย……”
พี่หยาง ก็คือองครักษ์ที่ไปหายาให้สหาย
ในสถานการณ์แบบนี้ โม่จวินเย่ไม่ได้เก็บเรื่องทางฝั่งหยิ่นซู่ฮั่วมาใส่ใจอีกต่อไป
“ทำไม?”
“ดูเหมือนตอนพี่หยางออกไปหายา บังเอิญไปเจอซื่อจื่อเฟย เขาดันถือเทียบยาไว้ไม่ดี มันเลยตกลงพื้น ซื่อจื่อเฟยหยิบขึ้นมาดู แล้วไม่ยอมคืน……”
เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงขององครักษ์ดูไม่พอใจสักเท่าไหร่
สหายที่ร่วมเป็นร่วมตายของพวกเขา ย่อมสำคัญกว่าซื่อจื่อเฟยอย่างหยิ่นซู่ฮั่วอยู่แล้ว
“พานางมาพบข้า!”