ตอนที่ 7 มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง
“เจ้าคิดจะทำอะไร คิดจะใช้กำลังกับข้าเช่นนั้นหรือ เอาสิ หากเจ้ากล้า ข้าจะไปฟ้องเรื่องนี้กับหัวหน้าหมู่บ้าน ว่าคนมาใหม่เช่นเจ้ากล้าลงมือกับคนเก่าก่อน !”
“ข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก การที่มือข้าจะต้องสัมผัสกับผิวของท่านดูจะเป็นการทำให้ฝ่ามือข้าสกปรกเสียเปล่า ๆ”
เด็กสาวเงยหน้ามองมารดา ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดได้หนักขนาดนี้ ถูกใจนางยิ่งนัก
เอาเลยท่านแม่พูดออกไปอีก สั่งสอนออกไปเลยว่าอย่าได้มาแหยมกับพวกเราสองแม่ลูก !!
หลิงอันผู้มาใหม่ไม่รู้ตัวเลยว่าตั้งแต่เมื่อใดกันที่นางสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ เหตุใดผ่านมาเพียงแค่วันเดียวถึงได้เข้าใจจิตใจของหลิงซุนและรับมือกับการเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงได้เร็วขนาดนี้
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าในโลกก่อนนางสูญเสียครอบครัวไปนาน พอได้มาอยู่ในร่างเด็กน้อย ได้มีชีวิตที่มีคนในครอบครัวอยู่ข้างกาย จึงสามารถทำใจยอมรับได้อย่างรวดเร็ว
“เจ้า ! เจ้ากล้าต่อว่าข้า !!”
“ท่านจะโกรธให้ได้อันใดขึ้นมา ในเมื่อคนที่เริ่มพูดจาไม่น่าฟังก่อนก็คือท่าน หากท่านไม่พูดเรื่องของข้า ไม่ทำให้บุตรสาวข้ารู้สึกแย่ มีหรือที่ข้าจะมาพูดจาโต้ตอบท่านเช่นนี้”
“อย่าได้เอาแต่จับผิดต่อว่าผู้อื่นนักเลย ก่อนท่านคิดจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องในบ้านของผู้อื่น ข้าอยากให้ท่านใส่ใจเรื่องในบ้านของตนให้ดีเสียก่อน”หลิงซุนไม่มีสีหน้ากรุ่นโกรธ ที่นางเลือกจะโต้ตอบกลับไปเพราะไม่ต้องการให้คนอื่นมาทำให้บุตรสาวเสียใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หลิงอันเกลียดตนและเมินหน้าหนี ส่วนหนึ่งคงมาจากแม่ไม่ได้ความเช่นนางที่ยอมปล่อยให้ผู้อื่นดูถูกตัวนางและบุตรสาว ทว่าตอนนี้นางไม่คิดจะทนแล้ว มารดาเช่นนางจะไม่ทนให้ใครก็ตามมาทำให้บุตรสาวและตัวนางต้องรู้สึกแย่อีกแล้ว
อย่างที่อันเอ๋อร์บอกคนเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนใดในชีวิตพวกนางเลย สนใจมากเกินไปก็รังแต่จะทำให้ชีวิตย่ำแย่
“อันเอ๋อร์กลับบ้านกันเถอะลูก”
เด็กสาวเงยหน้ามองสบสายตามารดา ริมฝีปากอ้าออกกว้างเป็นรอยยิ้ม
“เจ้าค่ะท่านแม่”แล้วทั้งสองคนก็จับจูงกันมุ่งหน้ากลับบ้าน สตรีบ้านหวังเห็นเช่นนั้นในใจพลันไม่ยินยอม หันไปพูดกับจางเหวิน
“เจ้าดู ดูความแสบสันของสองแม่ลูกคู่นี้ เห็นเช่นนี้แล้วเจ้ายังจะเข้าหาพวกนางอีกหรือ !! เห็นหรือไม่ความร้ายกาจของพวกนาง !!”
จางเหวินมองเพื่อนบ้านก่อนจะส่ายหัวไปมากับคำพูดของอีกฝ่าย
“ป้าหวังหากท่านไม่ชอบพวกนางสองแม่ลูกท่านก็ไม่ชอบคนเดียวเถิด อย่าได้มาบอกให้ข้าไม่ชอบพวกนางไปด้วยกับท่าน ข้ามีความคิดเป็นของตนเองไม่จำเป็นต้องให้ใครมาชักจูงให้เดินไปตามทางที่พวกเขาต้องการ”
กล่าวจบบุรุษเพียงหนึ่งก็หันหลังให้ ทิ้งความวุ่นวายชวนปวดหัวไว้ด้านหลัง
หากป้าหวังไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งกับสองแม่ลูกคู่นี้ มีหรือที่พวกนางจะโต้ตอบกลับไป ตนไม่ได้ตาบอด ย่อมมองเห็นว่าความจริงนั้นเป็นเช่นไร
“ท่านลุงจางขอบคุณมากนะเจ้าค่ะที่ช่วยขนของกลับมาให้ถึงบ้าน”พอมาถึงส่วนด้านในของบ้าน หลิงอันก็โน้มศีรษะขอบคุณจางเหวินทันที ความรู้สึกขุ่นมัวที่เกิดจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่พลันสลายหายไปหลังได้รับรอยยิ้มของเด็กน้อย
“ไม่เป็นอะไรลุงเต็มใจช่วย”
“แล้วก็...อันเอ๋อร์อยากขอบคุณที่ท่านลุงไม่รังเกียจพวกเราสองแม่ลูก”
คำพูดเด็กน้อยเหมือนผู้ใหญ่มากจริง ๆ อีกทั้งคำพูดนี้ยังสะกิดความรู้สึกสงสารให้เกิดขึ้นในใจ
เด็กน้อยคนนี้ผ่านความเจ็บปวดมามากมาย แม้ว่าตอนนี้หลิงอันจะเหมือนทำใจยอมรับได้แล้ว ทว่าความรู้สึกไม่ยุติธรรมเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะหายไป
“อันเอ๋อร์หนูเคยฆ่าคนไหม”
หลิงอันไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายจึงถามออกมาเช่นนี้ แต่ก็เลือกจะตอบออกไป
“ไม่เคย”
“เคยลักขโมยของของผู้อื่นหรือไม่ ?”
“ไม่เคย หลิงอันไม่มีความคิดจะทำเช่นนั้น !!”
“เห็นไหม ? อันเอ๋อร์ไม่เคยทำผิดอะไร ทำไมลุงต้องรังเกียจ หากเหตุผลที่ต้องรังเกียจอันเอ๋อร์กับท่านแม่มาจากการที่ทั้งสองคนถูกชายไม่ได้เรื่องคนนั้นทิ้ง ลุงคิดว่าช่างเป็นความคิดที่ไร้สาระยิ่งนัก”
หลิงอันมองความหนักแน่นและจริงใจในดวงตาเขา
บางทีนางอาจจะลองเชื่อใจชายผู้นี้ได้ก็ได้ ชายที่ยื่นมือเข้ามาช่วยในยามที่พวกเขาลำบาก
ในใจหลิงอันยังคงเป็นกังวลไม่อาจเชื่อใจคนที่พึ่งรู้จักกันได้ไม่นานหมดทั้งใจได้ ทว่าหากไม่ลองเสี่ยงดูแผนการต่อจากนี้ก็อาจจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้
ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนที่พอจะช่วยเหลือในเรื่องที่พวกนางสองแม่ลูกไม่สามารถทำกันเองได้
“ท่านลุง ในเมื่อท่านลุงไม่รังเกียจอันเอ๋อร์กับท่านแม่ เช่นนั้นอันเอ๋อร์อยากขอรบกวนท่านลุงสักอย่างไม่ทราบว่าพอจะเป็นไปได้หรือไม่เจ้าคะ”
“อันเอ๋อร์ไม่เอาลูก เกรงใจท่านลุงเขา”
“แม่นางหลิงไม่ต้องเกรงใจ หากเป็นเรื่องที่ข้าช่วยได้ ข้าย่อมเต็มใจช่วยเหลือ”จางเหวินมองตรงไปยังหลิงซุน หญิงสาวตรงหน้าเขาถึงกับย่อตัวจับบุตรสาวเอาไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“แต่ว่าข้า...”
“อย่าได้เกรงใจกันเลย หากเจ้ามัวแต่เกรงใจอยู่เช่นนี้เมื่อใดเราสองครอบครัวจะสนิทสนมกันมากขึ้นเล่า บ้านที่มีเพียงสตรีและเด็กมีคนไปมาหาสู่ไว้อาจจะดีกว่าก็ได้นะ”
หลิงซุนยังคงลังเล นางกลัวว่าการที่จางเหวินไปมาหาสู่บ้านนางบ่อย ๆ จะเกิดข่าวลือไม่ดีขึ้น และพาลทำให้ชายตรงหน้าเดือดร้อนเข้าสักวัน
จางเหวินยังไม่แต่งงานแถมยังเป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูลจาง นางกลัวว่าเขาจะเกิดผิดใจกับที่บ้านเพราะเรื่องของนางเข้า
“ท่านแม่ลูกเข้าใจความกังวลของท่านแม่เจ้าค่ะ แต่ว่านะท่านแม่เรื่องที่อันเอ๋อร์ต้องการจะทำต่อจากนี้ เราสองคนแม่ลูกไม่สามารถทำกันสองคนได้จริง ๆ เจ้าค่ะ”
เด็กผอมแห้งแรงน้อยกับสตรีที่หนังแทบจะหุ้มกระดูกจะเอาแรงมากมายที่ไหนมาทำงานใหญ่ งานนี้อย่างน้อยต้องมีบุรุษช่วยเหลือ และต้องมีครอบครัวที่พอจะรู้จักร้านรวงต่าง ๆ ในเมือง
ตอนนี้เอาแค่เรื่องตรงหน้าก่อน ส่วนเรื่องหลังจากนั้น บางทีนางอาจจะขอให้ครอบครัวหยงซ่านเปาช่วยได้
ตอนนี้คนที่พอจะขอความช่วยเหลือได้ก็มีอยู่เพียงไม่กี่คน
“อันเอ๋อร์ลูกแน่ใจใช่หรือไม่ ?”
“ลูกแน่ใจเจ้าค่ะต้องเป็นท่านลุงจางเท่านั้น”หลิงอันขยับกายยื่นมือออกไปจับมือมารดามากุมไว้ใช้สายตาจริงจังมองสบนัยน์ตานาง“ท่านแม่เชื่ออันเอ๋อร์สักครั้งนะเจ้าคะ สิ่งที่อันเอ๋อร์คิดจะทำท่านลุงจางจะไม่มีทางเสียเปรียบครอบครัวเราอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาดใจ
จางเหวินมองเด็กสาวตัวน้อยที่สูงเพียงเอวเขาเจรจาพูดคุยกับมารดาอย่างฉะฉาน หากเขามีลูกสาวเช่นนี้บ้างคงรู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อยเลย
“แม่นางหลิงหากเจ้ากังวลเกี่ยวกับครอบครัวข้าเจ้าไม่ต้องกังวล ท่านพ่อท่านแม่ข้า ไม่ได้ห้ามเรื่องที่ข้าจะทำความรู้จักกับครอบครัวเจ้า”
สายตาหลิงซุนมองผู้ใหญ่และเด็กสลับกัน เช่นนี้แล้วนางจะทำอะไรได้อีกนอกจากพยักหน้ายอมรับ
“ได้ ข้าตกลงเอาตามที่หลิงอันต้องการ แต่มีข้อแม้”
ทั้งสองจ้องหน้านางตาปริบ ๆ
ไม่รู้อะไรดลใจให้หลิงซุนเกิดความรู้สึกประหลาดเผลอคิดไปว่าทั้งสองคนช่างคล้ายพ่อลูกกันเหลือเกิน
หญิงสาวที่เผลอคิดอะไรไร้สาระสลัดความคิดนั้นทิ้งไปทันที ขยับปากเอ่ยขึ้นมาว่า
“หากครอบครัวของท่านเกิดมีปัญหากันเพราะข้าขึ้นมา พวกเราต้องยุติการติดต่อกันทันที”
จางเหวินยิ้มโล่งอก นึกว่านางจะพูดอะไรที่ไม่มีทางเป็นไปได้เสียอีก หากเป็นข้อแม้นี้ ไม่มีทางเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน
“แม่นางหลิงวางใจได้ จะไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น”
นัยน์ตากลมโตจ้องมองบรรยากาศรอบกายจางเหวิน มองรอยยิ้มมีความสุขของเขา ก่อนเด็กสาวจะพยักหน้าขึ้นลง
ท่านลุงเหวินที่แท้ท่านก็....