บทย่อ
คำโปรย คนอื่นเขาทะลุมิติได้ดิบได้ดี ไม่ใช่ครอบครัวรวยก็มีต้นทุนเป็นหน้าตา แต่เธอกลับทะลุมิติมาเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่พอยังผอมแห้งแรงน้อย หนังหุ้มกระดูก!! ส่วนบ้านหลังนี้น้อยที่มาอาศัยอยู่นะหรือ สภาพก็ไม่ต่างจากเด็กน้อยคนนี้มากนัก บ้านหลังโทรม ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะถล่มลงมาเมื่อไร แถมสตรีเพียงคนเดียวในบ้านที่เป็นมารดาของเด็กน้อยคนนี้ยังเป็นแม่หม้ายซึ่งมีอาชีพเย็บปักถักร้อยที่แต่ละเดือนแทบจะได้เงินมาไม่พอยาไส้คนในครอบครัว แล้วบิดาหายไปไหน? โถ พ่อสารยำคนนั้นหลังเจอสตรีที่ถูกใจใหม่ก็ปันใจเป็นอื่น แถมยังถีบหัวส่งภรรยาออกมาลำบากอีก!! แล้วครอบครัวของมารดา? โห คนสมัยนี้พอผู้หญิงถูกทิ้งก็ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้แล้ว แล้วครอบครัวมารดาเด็กคนนี้จะมาสนใจไยดีอะไร คิดแล้วก็ได้แต่โมโห คอยดูเถอะ!! ถ้าชีวิตได้ดีขึ้นมาอย่าคิดนะว่าเธอจะเหลียวแลคนพวกนั้น ในฐานะสตรียุคปัจจุบันเธอต้องพลิกชีวิตมารดาให้สามารถลืมตาอ้าปากให้ได้!! แต่ก่อนจะถึงตอนนี้ ตอนนี้ขอหาอะไรกินก่อนแล้วกันนะ...
ตอนที่ 1 ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าจะเป็นแบบนี้
“อันเอ๋อร์ไม่ออกมากินข้าวหรือลูก วันนี้แม่ทำน้ำแกงหัวไชเท้ามาให้กิน”
เจ้าของชื่อเรียกนอนมองเพดานห้อง ? ที่ไม่รู้ว่าจะเรียกเพดานได้ไหม เพราะมีรูรั่วและรอยปะชุนที่ทำจากกระดาษโง่ ๆ ติดเต็มไปหมด เท่านั้นยังไม่พอ หลังคาบ้านยังเปิดอ้ารับแสงแดดบริสุทธิ์ที่เธอไม่ได้ต้องการเลยสักนิด !!
มารดามันเถิด ไหนใครบอกว่าทะลุมิติแล้วจะได้ดิบได้ดียังไงล่ะ ไหน ? ตรงไหนที่พอจะเรียกว่าดีได้บ้าง !!
“เห้อ ชีวิตแค่คิดก็ปวดหัวละ”เด็กสาวตัวน้อยบนฟูกนอนขาด ๆ เต็มไปด้วยรอยสีดำเป็นหย่อม ๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเชื้อราซึ่งเกิดจากการใช้งานมานาน แต่เพราะบ้านไม่มีเงินจึงต้องทน ๆ ใช้ของที่มีแต่เดิมไปก่อน
“อันเอ๋อร์ลูกตื่นแล้วใช่ไหม ?”เสียงมารดาของเด็กตัวน้อยยังคงเรียกด้วยความเป็นห่วง แต่เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเจ้าของร่างคนก่อนมัวแต่ดื้อดึงเอาแต่ใจไม่ยอมให้มารดาเข้าใกล้ ทำให้สตรีคนนั้นมีท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้าเข้ามาด้วยกลัวมาบุตรสาวจะยิ่งเกลียดตน
สุดท้ายเพราะความดื้อดึงจึงถูกสัตว์มีพิษกัดจนตายไปในที่สุด
จะเรียกว่าเด็กเปรตหรือเด็กไม่รู้ความดี ? ทั้งที่ความผิดของเรื่องทั้งหมดไม่ใช่เพราะมารดาตนเองแท้ ๆ แต่เป็นเพราะบิดาไม่รู้จักพอของเด็กคนนี้ต่างหาก
มีที่ไหนพอได้สตรีใหม่แล้วก็ถีบหัวส่งภรรยาพร้อมลูกในไส้ ไม่พอยังไล่ให้มาอยู่นอกชานเมืองแถวหมู่บ้านชนบท เงินส่งเสียอะไรก็ไม่มีให้สักแดง แต่ยังดีที่ให้ที่ทำกินมาสองหมู่ ถึงจะรู้ว่าให้มาเพราะไม่อยากถูกมองว่าใจร้ายกับภรรยาเก่ามากเกินไปก็ตาม
ส่วนเด็กน้อยคนนี้ที่เมื่อก่อนได้มีชีวิตสุขสบายพอชีวิตความเป็นอยู่พลิกผันก็ทนอยู่ในบ้านโทรม ๆ ไม่ได้ หลิงอัน จึงเริ่มพยศเอาแต่ใจ บ่นแต่จะกลับบ้าน พร้อมทั้งด่าทอมารดาว่าเป็นต้นเหตุทำให้ตนต้องมาลำบาก ทั้งที่หากแหกตาดูจะรู้ว่า มารดาต่างหากที่ลำบากมากกว่า
คิดไปคิดมา หลิงอัน คนใหม่ก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
เอาเถิด ถึงยังไงก็ตาย ๆ ไปแล้วจะสงสารก็แต่สตรีคนนี้ที่ต้องเสียลูกไปตั้งแต่ยังน้อย แล้วมีวิญญาณของใครก็ไม่รู้มาสิงสู่ร่างกายบุตรสาวของตนเอง
“อันเอ๋อร์ ?”สายตาเป็นห่วงและสีหน้าประหลาดใจของสตรีตรงหน้ายิ่งทำให้หลิงอันคนใหม่ถอดถอนใจมากกว่าเดิม มารดาแสนดีขนาดนี้ พยายามทนลำบากเพื่อเจ้าขนาดนี้ทำไมถึงยังเอาแต่คิดถึงบิดาชาติสุนัขคนนั้นกันนะ
“ท่านแม่ที่ผ่านมาอันเอ๋อร์ขอโทษที่ทำตัวไม่ดีนะเจ้าคะ”
“อันเอ๋อร์...”
คนได้รับคำขอโทษและท่าทีสำนึกผิดจากบุตรสาวดวงตาระรื่นยกมือขึ้นปิดปากคล้ายกำลังอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลลงมา
“อันเอ๋อร์ขอโทษจริง ๆ เจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร แม่ไม่โทษลูก”สตรีวัยยี่สิบสี่ปีโอบกอดบุตรสาวที่วิ่งเข้ามากอดนางด้วยความรู้สึกหลากหลาย
นับตั้งแต่ถูกไล่ออกจากบ้านสามี ระหกระเหินกลับบ้านเดิมด้วยใจหวังจะได้รับความช่วยเหลือแต่กับไม่มีใครต้อนรับ นางจึงต้องยอมรับสภาพที่เป็นแล้วมาอาศัยอยู่บ้านที่สามีเป็นคนจัดหามาให้
บ้านที่เรียกว่าบ้านไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
แต่เพราะไม่มีที่ให้คุ้มกะลาหัวจึงต้องทนอาศัยอยู่ในบ้านหลังโทรม พยายามหางานทำเพื่อที่อย่างน้อยจะได้มีเงินมาซื้อข้าวให้ลูกกิน ทว่าหญิงหม้ายอย่างนางจะมีที่ใดต้อนรับ ทุกคนต่างมองมาราวกับว่านางเป็นตัวน่ารังเกียจ หากเข้าใกล้อาจจะทำให้ครอบครัวพวกเขาเกิดปัญหา กว่าจะสามารถหางานและมีเงินเข้ามาบ้าง เงินเก็บที่มีก็ใช้ไปจนเกือบหมด
ส่วนบุตรสาว นับตั้งแต่ได้เห็นสภาพบ้านหลังนี้ก็ร้องแต่จะกลับบ้านเดิม ดื้อไม่ฟังท่าเดียว ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมพบหน้า ไม่ยอมพูดคุย ทั้งยังกล่าวโทษนางที่ทำให้ทุกอย่างกลายมาเป็นเช่นนี้
เพราะนางทำให้บิดาทิ้งตนไปไม่รักตน ทั้งยังบอกว่าเกลียดมารดาเช่นนาง
คนเป็นมารดาไหนเลยจะไม่รู้สึกผิด ทำเอาบางครั้งเผลอคิดไปว่า หากตนมีความสามารถในการมัดใจสามีมากกว่านี้ บทสรุปของพวกนางสองแม่ลูกจะกลายมาเป็นเช่นนี้หรือไม่
ผ่านมาสี่เดือนไม่รู้อะไรดลใจให้บุตรสาวเปลี่ยนไป แต่อย่างน้อยนางก็โล่งใจที่ลูกไม่เกลียดตนแล้ว
“ท่านแม่ต่อจากนี้อันเอ๋อร์จะไม่ดื้ออีกแล้ว จะช่วยท่านแม่ทำงานบ้าน”เด็กน้อยวัยหกขวบดวงตาไร้ซึ่งความขุ่นมัวใด ๆ ยิ้มกว้างให้มารดา
รอยยิ้มของบุตรสาวที่ไม่ได้เห็นมานานทำความอดทนของ หลิงซุนขาดสะบั้น น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้จึงไหลออกมา
“อันเอ๋อร์ชีวิตแม่เหลือแต่ลูกแล้ว เราสองคนแม่ลูกมีกันอยู่แค่นี้แล้วจริง ๆ ”หลิงซุนร้องไห้ ทรุดเข่าลงตรงหน้าบุตรสาว สองมือยกขึ้นจับไหล่เอาไว้แน่น ไหล่เล็กแคบของหญิงสาวสั่นไหว
หลิงอันเข้าใจความรู้สึกนาง มือเล็กยกขึ้นตบหลังมารดาเบา ๆ
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ ต่อไปอันเอ๋อร์ก็จะช่วยด้วย อันเอ๋อร์โตแล้วช่วยท่านแม่ได้เจ้าค่ะ”
เด็กน้อยเอ่ยพร้อมยกมือตบ ๆ ไหล่มารดา
ก็อยากจะตบหลังอยู่หรอกแต่แขนสั้นตบไม่ถึง
หลิงอันยืนปลอบมารดาที่ร้องไห้ออกมาจะเป็นจะตาย ราวกับต้องการระบายความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจออกมาให้หมดสิ้น
ความโศกเศร้าที่ถูกคนรักหักหลัง ไหนจะครอบครัวเมินหน้าหนี บุตรสาวเพียงคนเดียวยังไม่อยากเข้าใกล้ ทั้งยังเกลียดชัง
คนที่เหงาเพราะทุกคนเอาแต่หนีห่าง พอได้รับความรักที่โหยหามานานอีกครั้งจึงเผลอปลดปล่อยความอ่อนแอออกมา
นัยน์ตาสุกสกาวจ้องมองท้ายทอยมารดา ตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะ
หลิงซุนเจ้าไม่ต้องกังวลไป เจ้ามีข้าอยู่ทั้งคนต่อจากนี้ข้าจะพยายามทำให้ชีวิตเจ้ามีความสุข มีชีวิตอยู่ที่ดีขึ้น !!
แต่ยังไม่ทันที่หลิงอันจะได้ทำดั่งใจนึก ท้องน้อย ๆ ของนางพลันส่งเสียงร้องโครกครากออกมาขัดจังหวะความคิดของเธอ
ส่วนมารดาที่ร้องไห้อยู่หยก ๆ พลันหัวเราะขำ ยกมือเช็ดน้ำตา
“อันเอ๋อร์ของแม่หิวแล้วสินะ กินข้าวกันเถิด”
“เจ้าค่ะท่านแม่”คนเป็นแม่ยิ้มกว้างส่งมาให้ จูงแขนเด็กน้อยออกไปนั่งกินด้านนอกพร้อมชามข้าวที่ยกเข้ามาให้ในบ้าน
เอาเถอะ ก่อนจะถึงตอนนั้นตอนนี้เธอขอกินข้าวก่อน อย่างน้อยก่อนจะทำอะไรสักอย่าง ท้องต้องอิ่มก่อนถึงจะทำได้ !!