บทที่ 20
สุดท้ายคนผู้นั้นยื่นม้วนกระดาษอีกหลายอันให้นาง องค์หญิงสิบสามลืมตนจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรับม้วนกระดาษ อีกทั้งเอ่ยขอบคุณเบาๆ เป็นคนต้องรู้จักบุญคุณคนอีกอย่างนางหาได้มีชื่อเสียงเขาคงไม่รู้จักนางเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นพลันสบายใจขึ้น
“ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ที่ช่วยเหลือ”
เพราะความสูงของเขาที่มากจนนางต้องเงยหน้า อีกทั้งแสงของดวงอาทิตย์สาดส่องมาที่ดวงตาพอดีจึงทำให้นางต้องหยีตาด้วยมองเขาไม่ชัด
เขาขยับร่างสูงมาบังแสงแดดให้อย่างว่องไว
แสงแดดที่ส่องตาถูกบังจนมิด องค์หญิงสิบสามยังดวงตาพร่ามัวอยู่เล็กน้อย นางกะพริบตาสองสามครั้งปรับความชัดเจนของภาพเบื้องหน้า
พลันรู้สึกประหลาดใจเมื่อรู้สึกว่าคุ้นเคยกับใบหน้าของคนผู้นี้นัก คล้ายเป็นสหายเก่าผู้หนึ่ง
องค์หญิงสิบสามขยี้ตาตนเอง กระทั่งเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาสง่างามคนผู้นั้นเต็มๆ องค์หญิงสิบสามถึงกับตาโตด้วยความตกใจ
"ทะ ท่าน ยะ แย่แล้ว ยะ หยางเอ้อหลาง"
หยางเอ้อหลางย่นคิ้วเอ่ยถาม
"ไม่ทราบแม่นางรู้จักข้าด้วยหรือ"
หลินฮุ่ยหมินพลันสายหน้าจนเส้นผมกระจาย
"มะ ไม่ ขะ ข้าไม่รู้จักท่าน"
นางทั้งมึนงง ทั้งสงสัย ว่าบุรุษที่ตามมาช่วยนางนั้นกลายเป็นเขาไปได้อย่างไร
นางคว้าม้วนภาพวาดที่อยู่ในมือของเขามาถือด้วยความตกใจอีกทั้งลนลานยิ่ง ก่อนจะกอดม้วนภาพวาดพวกนั้นราวกับสมบัติล้ำค่าไว้กับอก
หยางเอ้อหลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
"แม่นาง ไม่ทราบท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่"
หลินฮุ่ยหมินกอดภาพแน่น ราวกับว่ามันคือสมบัติอันล้ำค่า แน่นอนว่าภาพทั้งหมดคือภาพวาดของหยางเอ้อหลาง นางไม่อาจให้เขาเห็นได้
หยางเอ้อหลางเห็นท่าทางแปลกประหลาดของแม่นางผู้นี้ก็นึกแปลกใจ ของที่นางถือคงมีความหมายต่อนางไม่น้อย จึงได้แสดงท่าทางหวงของจนยอมเสี่ยงชีวิตมาตามเช่นนี้
เขายังไม่ทันได้เอ่ยถามชื่อแซ่ สตรีผู้นั้นพลันเอ่ยว่า
“ข้าขอตัว”
"ดะ เดี๋ยวก่อน แม่นาง"
หยางเอ้อหลางได้แต่คืนคำทักท้วงเอาไว้เมื่อนางว่องไวยิ่ง
หลินฮุ่ยหมินทะยานขึ้นบนกำแพง นางยังมองใบหน้าของเขานิ่ง
ใช่ นั่นเป็นเพราะนางไม่อาจห้ามใจตนให้ไม่ให้หลงใหลในใบหน้าอันหล่อเหลาทั้งยังงดงามราวเทพเซียนมาจุติของหยางเอ้อหลางได้
แต่นางไม่อาจเสียเวลาให้เขาจับนางได้ จึงได้แต่ตัดใจแล้วทะยานร่างหายไปอย่างรวดเร็ว
หลินฮุ่ยหมินวิ่งมาได้ชั่วครู่ ก็คิดว่าเขาไม่ได้ติดตามมาแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจ
เผลอคิดถึงใบหน้าหล่อเหลาของคนผู้นั้นที่เห็นเต็มตาแล้วพลันรู้สึกคล้ายจะเพ้อฝัน อีกใจก็ครุ่นคิดว่าเขาคงไม่รู้จักนางกระมัง ถึงเขาจะเข้าวังบ่อยครั้งแต่องค์หญิงมีมากมาย หยางเอ้อหลางคงจดจำนางไม่ได้กระมัง
คิดเรื่องราวต่าง ๆ นา ๆ ไปมาก สุดท้ายก็นึกย้อนมาถึงเรื่องของตนเอง โอ๊ะ โอ บัดนี้นางอยู่ที่ใดกัน และ อาชิงเล่าอยู่ที่ใด
ที่ฝั่งกำแพงอีกฟากในเมือง หลินฮุ่ยหมินไม่ตัวเลยสักนิดว่า บัดนี้กำลังทำให้บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนแข็งค้าง
นางจากไปแล้วหยางเอ้อหลางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่นั่น เขามองไปบนกำแพงสูงที่ร่างโปร่งบางหายลับไปพลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ
หยางเอ้อหลางเห็นกระบอกม้วนกระดาษที่นางเก็บไปไม่หมดตกอยู่ที่พื้นอีกอัน ม้วนกระบอกฉีกขาดภาพวาดจึงกลิ้งออกมาเผยให้เห็นใบหน้างดงามที่เขาคุ้นเคย
เป็นภาพวาดเสมือนจริงของเขาที่เหมือนมากจนเขาตกใจ
หยางเอ้อหลางมองภาพนั้นชั่วครู่ ภาพรอยยิ้มของตัวเขาเองที่นางถ่ายทอดออกมาดูเจ็บปวดมากกว่ามีความสุข ดูเหมือนว่านางจะเป็นจิตรกรที่ไม่เพียงแต่มองใบหน้าผู้คนแต่ยังสามารถถ่ายทอดความเจ็บปวดของเขาออกมาทางภาพวาดได้
เขามองดูกำแพงที่ร่างบางของนางหายลับไปอีกครั้ง ของมีค่าที่นางเอาชีวิตตนเองมาเสี่ยงกับโจรพวกนี้คือภาพวาดของเขาเช่นนั้นหรือ
เขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่มีสตรีผู้หนึ่งหลงใหลเขาถึงกับเสี่ยงชีวิตตนเองเช่นนี้
หิมะโปรยปรายลงมาปะทะกับดอกเหมยที่ยังคงออกดอกชูช่องดงามอยู่เบื้องหน้า แสงแดดอ่อนที่สาดส่องต้องกับสีชมพูของกลีบดอกทำให้ดูงามตาอีกทั้งแปลกตายิ่ง
เขาโน้มกิ่งดอกเหมยลงมาสูดดมความหอม ใบหน้าของสตรีผู้นั้นลอยผ่านหน้าของเขาไปราวกับสายลม
ความรู้สึกหนึ่งพลันเกิดขึ้นในใจของหยางเอ้อหลาง
แม่นางผู้นี้งดงามยิ่งนัก