บทที่ 19
องค์หญิงสิบสามตามโจรชั่วมาจนถึงสุดกำแพงเปลี่ยวห่างไกลผู้คน
โจรผู้นั้นไม่คิดว่าสตรีบอบบางที่เขาขโมยของจะวรยุทธ์ดีเพียงนี้
เขาถูกนางไล่เตะไปหลายทีแต่โจรผู้นี้ยังเร็วอยู่มาก ใช้พลังหลบหนีสุดชีวิตถึงวรยุทธ์โจรร้ายจะไม่ได้เรื่อง แต่กลับหลบหนีได้ว่องไวยิ่ง จวบจนสามารถหลอกล่อนางมาจนถึงแหล่งกบดานของพวกเขา ของที่เขาขโมยมาคงมีค่ามากนางจึงไม่สนใจสิ่งใดเสี่ยงตายตามมาถึงที่นี่
องค์หญิงสิบสามไล่ต้อนคนร้ายมาจนถึงมุมกำแพง ระหว่างทางนางแอบหยิบไม้กวาดด้ามยาวของชาวบ้านติดมือมาด้วย
เมื่อประชิดตัวโจรผู้นั้น นางไม่เอ่ยคำใดให้มากความ เงื้อมือวาดแขนฟาดไม้กวาดลงตรงกลางศีรษะคนร้ายอย่างแรง
คนผู้นั้นร้องออกมาด้วยเสียงอันดังก่อนจะยกมือกุมศีรษะตนเอง
หลังจากนั้นองค์หญิงสิบสามก็ฟาดไม้กวาดลงไม้ยั้งมือจนโจรผู้นั้นนอนหมดเรี่ยวแรง ครั้นเห็นเลือดไหลหยดลงมาราวสายน้ำก็ตกใจหวาดกลัวแทบสิ้นสติลนลานคลานถอยหลังชิดกำแพงราวสุนัขจนตรอก
“แม่นางข้ายอมแล้ว ยอมท่านแล้วเอาของท่านคืนไปแล้วได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด”
องค์หญิงสิบสามเดินไปจนชิดร่างของคนผู้นั้น นางนั่งยองๆ ดึงกระเป๋าผ้าของตนคืนมาก่อนจะตรวจดูสิ่งล้ำค่าของตนด้วยความระมัดระวังจนครบถ้วนอย่างพอใจ
“หันหลังแล้วนอนหมอบที่พื้น”
นางลุกขึ้นแล้วสั่งโจรร้ายเสียงเหี้ยมเกรียมคิดจะมัดเขาผู้นั้นไว้แล้วจับตัวส่งทางการเสีย
“ขอรับท่านจอมยุทธ์หญิง”
โจรผู้นั้นรับคำแต่เพียงฉับพลันมันกลับยืนขึ้น ใบหน้าจากหวาดกลัวเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สายตาของมันมองข้ามไหล่ขององค์หญิงสิบสามไปด้านหลัง องค์หญิงสิบสามเอียงคอตามครั้นเห็นว่ามีกลุ่มบุรุษท่าทางน่ากลัวจำนวนมากอยู่ด้านหลังพลันยกยิ้มเยาะ
“สาวน้อยเจ้ามาผิดที่แล้ว” โจรผู้นั้นเอ่ยพลางหัวเราะเสียงเหี้ยมโหด
“อ้อคิดว่ามีพวกมากแล้วจะเอาชนะข้าได้หรือ”
นางแค่นเสียงเย็นโดยไม่มีท่าทางหวาดกลัว สายตากวาดดูคนกลุ่มนั้นอีกทั้งนับจำนวนในใจ น่าจะราวยี่สิบกว่าคนเห็นจะได้แต่ดูท่าทางแล้วพวกมันล้วนเป็นโจรข้างถนนนางเพียงคนเดียวก็จัดการได้
“ใจกล้าเสียด้วย สตรีเช่นเจ้าอย่าทำให้ตนเองลำบากเลยร่างกายบอบบางเช่นนี้เป็นคุณหนูจวนใดหรือ ให้พวกข้าพากลับจวนดีหรือไม่”
บุรุษน่ารังเกียจพวกนั้นมององค์หญิงสิบสามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเห็นร่างบอบบางของนางอีกทั้งอาภรณ์ที่นางสวมเป็นผ้าไหมเนื้อดีแตกต่างจากของชาวบ้านทั่วไป จึงคาดเดาได้ไม่ยากว่านางคงเป็นบุตรสาวของจวนผู้ดีสักจวน
สายตาที่มองนางจึงหื่นกระหายยิ่งนัก แม้นางจะเป็นคุณหนูในห้องหอแล้วอย่างไร
คุณชั้นสูงมักห่วงชื่อเสียงหากรู้ว่าบุตรสาวตนเองอยู่ท่ามกลางกลุ่มโจรเช่นนี้แม้จะได้บุตรสาวกลับคืนในสภาพยับเยินคงไม่กล้ากระโตกกระตากด้วยหวาดกลัวว่าชื่อเสียงบุตรสาวจะมัวหมอง คนชั้นสูงบอบบางกับเรื่องชื่อเสียงนัก พวกมันคิดกันเช่นนี้จึงไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด
“อยากตายก็เข้ามาเลย” นางเอ่ยโดยไม่เกรงกลัว
พวกมันไม่พูดพร่ำอีกต่อไปต่างกรูกันเข้ามารุมทำร้ายองค์หญิงสิบสาม ยังไม่ทันที่นางจะตั้งหลักต่อสู้ คนผู้หนึ่งก็ทะยานลงมาจากที่ไหนสักแห่งแกว่งดาบไปมาโดยไม่ได้ถอดดาบออกจากฝัก
องค์หญิงสิบสามไม่ทันมองหน้าเขาเมื่อหนึ่งในโจรร้ายพุ่งเข้าทำร้ายนางมันฟันดาบลงมาดัง ฉับ
องค์หญิงสิบสามหลบอย่างว่องไวแต่ดาบนั้นได้ตัดกระเป๋าผ้าของนางจนขาดม้วนภาพวาดของนางจึงหล่นกระจายเต็มพื้น
องค์หญิงสิบสามเดือดดาลยิ่ง พวกมันบังอาจมากไปแล้ว จัดการคนจนนับได้ห้าคนกำลังจะหันไปจัดการคนต่อไปกลับพบว่าคนเหล่านั้นล้มตัวลงกองกับพื้นราวกับกองใบไม้ ต่างถูกกระบี่ตีขาหักจนลงไปร้องโอดโอยที่พื้นส่งเสียงเจ็บปวดระงม
กลุ่มโจรรุมทำร้ายบุรุษผู้นั้นแต่กลับถูกเขาจัดการจนยับเยิน รวดเร็วประดุจลมพัด ช่างเป็นการตีคนที่ไร้ข้อบกพร่อง เมื่อโจรคนสุดท้ายถูกเขาจัดการเสร็จ คนของทางการก็มาถึงทันใด
องค์หญิงสิบสามก้มเก็บม้วนภาพด้วยความรีบร้อน เพียงแต่หูได้ยินเขาสั่งให้นำคนร้ายไปที่สำนักตรวจความสงบของทางการก็วางใจ
นางในตอนนี้เห็นเพียงแต่แผ่นหลังสูงใหญ่ของเขาอีกทั้งตนเองยังมัวแต่ก้มเก็บภาพวาดที่กระจายเกลื่อนด้วยกระเป๋าถูกฟันจนฉีกขาดจึงไม่ทันได้มองหน้าเขาอย่างชัดเจน
หลังจากจัดการเสร็จเขาก็ช่วยนางเก็บสิ่งของมีค่าที่ถูกโจรขโมยมาด้วยไมตรี
นางรับม้วนกระดาษจากเขา แต่ยังไม่ยอมเงยหน้ามองเขาอีกทั้งหมวกคลุมหน้าของตนนั้นถูกคนร้ายฟันจนขาดไปแล้วใบหน้าของนางจึงถูกเปิดเผยชัดเจน
หากคนผู้นี้รู้ว่านางคือองค์หญิงสิบสามเรื่องอาจจะไม่จบอยู่ตรงนี้เป็นแน่
คิดดังนั้นจึงพยายามหลบหน้าเขาวุ่นวาย