บทที่ 16
จนถึงในวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าปรีดานัก การทำบุญของสกุลหยางครั้งใหญ่กินเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า
ทั้งนี้เพื่อเป็นการทำบุญให้แก่วิญญาณของสกุลหยางที่ล่วงลับยังถือโอกาสทำบุญทำทานแก่ผู้เร่ร่อนไปในตัว ฝ่าบาททรงสนับสนุนเต็มที่
ขอเพียงชดเชยให้สกุลหยางได้บ้างหากพวกเขาจะจัดงานเอิกเริกยิ่งกว่างานในวังจะเป็นไร
การทำบุญครั้งใหญ่ในวันเกิดฮูหยินชราเพื่อคนสกุลหยางที่ตายในสนามรบทั้งหมดเท่านี้จึงนับว่าน้อยเกินไป พระองค์จึงพระราชทานเงินเพื่อร่วมทำบุญในทุกปีอีกด้วย
เรื่องนี้จึงช่วยสร้างชื่อเสียงแห่งความเมตตาของฮ่องเต้ที่ไม่ทอดทิ้งสกุล หยางจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วราษฎรแซ่ซ้องสรรเสริญยิ่ง
เมื่อมีผู้หนุนหลังที่ยิ่งใหญ่เหล่าขุนนางสกุลใหญ่ที่รู้ตำแหน่งของสกุลหยางในพระทัยฝ่าบาทว่าสำคัญเพียงใดจึงยิ่งต้องการเกี่ยวดองกับพวกเขาเพื่อสร้างฐานอำนาจให้ได้
หยางเอ้อหลางร่วมกับบิดามารดาและขุนพลสกุลหยางจากบ้านไปทำสงครามตั้งแต่อายุสิบเจ็ดปีในครานั้นเขายังเป็นเพียงหนุ่มน้อยวัยเยาว์อ่อนด้อยประสบการณ์
แปดปีต่อมาเขากลับมาด้วยภาพของท่านแม่ทัพหนุ่มผู้กุมอำนาจเหนือกองทัพนับห้าแสนนาย พร้อมชัยชนะอันยิ่งใหญ่ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของเขาระบือไกลไปทุกทิศ ไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรเพียงได้ยืนชื่อว่าเป็นหยางเอ้อหลางที่นำทัพต่างก็หวาดกลัวยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี
อำนาจและตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ที่เขาได้รับมาแน่นอนย่อมแลกด้วยชีวิตของท่านพ่อท่านแม่และญาติพี่น้องที่ร่วมต่อสู้และตายในสนามรบ การตายของบิดามารดานั้นผู้คนเล่าลือกันว่า ไร้ความเสียใจหรือหยดน้ำตาแม้แต่หยดเดียวของแม่ทัพหนุ่มผู้นี้
เขากลายเป็นผู้คุมกองกำลังเพียงข้ามคืน จิตใจของเขาดั่งภูผาแม้บิดามารดาจะตายไปต่อหน้าต่อตา หยางเอ้อหลางยังสามารถคุมกำลังต่อสู้กับศัตรู จนได้ชัยชนะกลับมา เขาจึงกลายเป็นยมทูตแห่งความตายอย่างแท้จริง
วันนี้การทำบุญใหญ่ของสกุลหยางครึกครื้นยิ่ง ด้วยนอกจากจะมีผู้ที่มีรับบริจาคเป็นจำนวนมากแล้วยังมีบรรดาคุณหนูจากสกุลต่างๆ มาร่วมตั้งโต๊ะบริจาคทุกคนล้วนแต่งกายงดงาม ด้วยชื่อเสียงและความองอาจผ่าเผยของท่านแม่ทัพนั้นมีมาเนิ่นนาน
บรรดาช่างวาดรูปต่างจับจองที่ของตนเองเพื่อวาดภาพเหมือนของท่านแม่ทัพหวังทำเงินมหาศาล เนื่องจากท่านแม่ทัพมักเก็บตัวในจวน หรือไม่ก็อยู่แต่ภายในค่ายทหารไปเร็วมาเร็วดุจลมพัด จึงยากที่ผู้คนจะพบหน้า
ครานี้จึงเป็นโอกาสยังดีที่จะได้วาดภาพกอบโกย เงินทอง หน้าจวนท่านแม่ทัพจึงคับคั่งไปด้วยจิตรกรจากทั่วสารทิศ
เพียงแม่ทัพหนุ่มปรากฏกาย
ความหล่อเหลาสง่างามส่งกลิ่นอายแห่งสงครามของเขาต้องใจสตรี เพียงเขาแย้มยิ้มให้กับฮูหยินผู้เฒ่า บรรดาคุณหนูที่ไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมอวยพรฮูหยินผู้เฒ่าที่ลอบมาแอบมองเขาอยู่ด้านหน้าจวนต่างเข่าอ่อนเดินไม่ตรงสามารถเก็บไปฝันหวานได้อีกเป็นเดือน
ไม่เสียแรงที่พวกนางต่อสู้แย่งชิงพื้นที่โดยรอบและหาทำเลดีที่สุดเพื่อชื่นชมบุรุษผู้องอาจ
อาหารตาของสาวน้อยใหญ่นอกจากจะเป็นท่านแม่ทัพแล้ว องครักษ์ประจำกายของท่านแม่ทัพอีกทั้งทหารคนสนิทต่างมีใบหน้าหล่อเหลาองอาจประดุจเทพเซียน อีกทั้งวันนี้คุณชายจากจวนต่างๆ ถูกบิดามารดาพามาเพื่อช่วยงานกุศลบ้านสกุลหยางในการสานสัมพันธ์บัดนี้จวนสกุลหยางจึงกลายเป็นแหล่งชุมนุมชายงามและเพียบพร้อมแห่งต้าชิงไปเสียแล้ว
การเสียเงินเพื่อจับจองที่เป็นจำนวนมากจึงนับว่าเป็นการค้าขายที่ได้กำไรของเหล่าหญิงสูงศักดิ์
เมื่อทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่ด้านหน้าประตูใหญ่สกุลหยาง กลับมีคุณหนูผู้หนึ่งกับสาวใช้ผู้ลึกลับกำลังวางโต๊ะตัวเล็กพร้อมด้วยอุปกรณ์วาดภาพลงที่พื้นที่อีกด้านที่สามารถมองเห็นท่านแม่ทัพได้อย่างชัดเจน ในขณะที่พวกนางวางพู่กันกระดาษและแท่นฝนหมึกลงอย่างเรียบร้อย เสียงบุรุษผู้หนึ่งก็ดังขึ้น
"แม่นางท่านใช่คุณหนูสวี่หรือไม่"
"ใช่ข้าคือคุณหนูสวี่"
"เช่นนั้นข้าขอดูป้ายประจำกายท่านด้วย"
บุรุษผู้นั้นยื่นมือออกมาพร้อมใบหน้าเหี้ยมเกรียม ที่ตรงนี้เป็นดั่งทองดังนั้นจึงต้องระมัดระวังคนแอบอ้างให้มาก
"เจ้าบังอาจแล้วรู้หรือไม่ว่าคุณหนูสวี่คือผู้ใดกล้าตรวจสอบนางหรือ"
สาวใช้ฝีปากกล้าใบหน้างดงงามจิ้มลิ้มเอ่ยขึ้น แม้จะแต่งกายเป็นสาวใช้แต่ดูเหมือนว่าสตรีผู้นี้จะคล้ายเป็นคุณหนูปลอมกายมามากกว่ารัศมีดูสูงส่งกว่าคนทั่วไปนัก เขาจึงเอ่ยอ่อนน้อมกับนางลงมาก
"หาไม่ข้าน้อยเพียงแต่ต้องทำตามหน้าที่ด้วยไม่เคยเห็นใบหน้าของคุณหนูมาก่อนขอแม่นางโปรดเข้าใจ"
สาวใช้ผู้นั้นมองมายังผู้ที่แสดงตนว่าเป็นคุณหนูสวี่ที่ใส่หมวกคลุมศีรษะสีขาวปิดบังใบหน้าอยู่ เมื่อผู้เป็นนายพยักหน้านางจึงนำป้ายประจำกายส่งให้เขาดู เขาตรวจป้ายประจำกายก่อนจะทำความเคารพน้ำเสียงนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม
"เชิญคุณหนูตามสบายที่ตรงนี้นับว่าเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดที่จะเห็นท่านแม่ทัพคุ้มค่าที่ท่านจ่ายมาแน่นอน" กล่าวจบเขาก็จากไปพร้อมรอยยิ้ม