ตอนที่ 6 หวั่นไหว!!
“หมิงอันเฟย ไม่สิ ฮั่วอันเฟยข้าขอเตือนเจ้านะว่าผู้ที่รับปากข้าแล้วไม่มีทางจะพลิกลิ้นกลับคำได้ ชีวิตของเจ้าจะยังปลอดภัยหากว่าอยู่ในความคุ้มครองของข้า ข้ารับรองกับเจ้าด้วยชีวิตว่าจะไม่มีทางยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้าได้ตลอดเวลาหกเดือนจากนี้ไป”
“แต่ว่าพระองค์มิได้รับปากว่าตัวพระองค์เองจะฆ่าหม่อมฉันนี่เพคะ”
“หากเจ้าไม่ผิดสัญญา ข้าจะไปเอาชีวิตเจ้าทำไม ถ้อยทีถ้อยอาศัย ข้าคงไม่มาหาเจ้าหากว่าไม่ไว้ใจเจ้ามากพอ อันเฟย…เจ้าเข้าใจหรือไม่”
อันเฟยถอยกลับไปติดประตูอีกครั้งเมื่อท่านอ๋องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ นางใจสั่นจนจะกระตุกออกมาข้างนอกได้อยู่แล้ว นางไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เสียงของเขาและลมหายใจร้อนผ่าวนั่นทำเอานางสติหลุดลอย เสียงกระซิบที่ใกล้หูทำเอาผู้ฟังแทบจะยืนไม่อยู่
“ข้าไปนะพระชายา อีกสองวันพบกันใหม่”
ใบหน้าท่านอ๋องยามที่ตรัสกับนางยังคงเรียบเฉยราวกับไม่มีความรู้สึก ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้อันเฟยค่อย ๆ ทรุดตัวลงเพราะหายใจไม่ทันกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้
“ใจเย็น ๆ ก่อนอันเฟย อย่าได้…ตกใจ เจ้าแค่ประหม่าเท่านั้น แค่ตกใจ….อีตาอ๋องบ้าเอ๊ย!!”
อันเฟยตบใบหน้าของตัวเองที่ร้อนผ่าวนั้นอย่างควบคุมไม่อยู่ คืนนี้ทั้งคืนนางก็นอนไม่หลับเมื่อนึกถึงใบหน้าขอผู้ที่พูดกับนางและเสียงกระซิบนั่น
“โอ๊ย!! ไอ้คนบ้า!! ออกไปนะ ๆๆ จะบ้าตาย”
สองวันถัดมา
ท่านอ๋องมาที่หอต้าหรงอีกครั้งพร้อมกับแม่ทัพฮั่วตูเพื่อพบกับอันเฟย เมื่อทั้งสามพบกันแล้วอันเฟยรู้สึกเลื่อมใสท่านแม่ทัพฮั่วผู้เฒ่าในทันที เขาเองก็รู้สึกถูกชะตากับอันเฟยอยู่ไม่น้อยเมื่อพบนางครั้งแรก
“นี่แม่ทัพฮั่วตู จากนี้เขาจะเป็นท่านพ่อของเจ้า”
“อันเฟยใช่หรือไม่”
“ท่านพ่อ ใช่เจ้าค่ะ”
รอยยิ้มของนางที่ส่งให้แม่ทัพฮั่วทำเอาหัวใจของท่านอ๋องนั้นเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว นึกไม่ออกเลยว่าเคยรู้สึกใจเต้นแรงเช่นนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อใด
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“อาจารย์ ว่าอย่างไรนะขอรับ”
“ท่านอ๋อง กระหม่อมถามว่าจะพาอันเฟยไปได้เลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ เช่นนั้นเรารีบขึ้นรถม้ากันก่อน รายละเอียดเอาไว้ไปคุยที่จวนท่านเถอะ”
“เช่นนั้นก็..อันเฟยไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
อันเฟยเดินไปกอดแขนแม่ทัพฮั่วอย่างที่ไม่มีผู้ใดกล้าทำมาก่อนจนแม่ทัพฮั่วเองก็นึกไม่ถึงว่าสตรีตรงหน้าจะกล้าทำเช่นนี้กับเขาอย่างเป็นธรรมชาติซึ่งเขาเองก็ไม่ได้นึกรังเกียจ ออกจะแปลกใจและชอบด้วยซ้ำไป
จวนแม่ทัพฮั่ว
“ข้าเป็นบุตรของภรรยารองที่อยู่ชนบท ได้ช่วยเหลือท่านอ๋องเอาไว้ตอนที่ไปออกรบชายแดนกับท่านพ่อ แม่ข้าตายจากนั้นท่านพ่อจึงรับข้าเข้าเมืองหลวง ท่านอ๋องทราบข่าวจึงได้สู่ขอข้าไปเป็นพระชายาเพราะตอบแทนบุญคุณอีกทั้งเพราะเป็นรักแรกพบ....”
“เรื่องที่พวกท่านแต่งมาก็ใช้ได้อยู่ เกือบจะดีแล้ว แต่ข้ารู้สึกขนลุกนิดหน่อยตรง “รักแรกพบ” เพราะว่าดูจาก….”
นางมองพระพักตร์ท่านอ๋องที่จนถึงบัดนี้ นางยังไม่เคยเห็นสีหน้าอื่นของเขาเลย
“อันเฟย หรือเจ้าว่าเราควรจะเพิ่มอะไรลงไปดีล่ะ หรือว่าจะเขียนว่า…”
“ท่านพ่อ ๆ อย่า ๆ เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าเพียงแค่ท่านอ๋องอยากตอบแทนบุญคุณข้าเพราะเป็นเหตุทำให้แม่ข้าต้องตายและสัญญาว่าจะดูแลข้าแทนนาง แค่นี้ก็น่าจะได้แล้ว ไม่ต้องมีรักแรกพบหรอก ท่านมองพระพักตร์เช่นนั้น จะรักใครแรกพบได้งั้นหรือ”
สองพ่อลูกกำมะลอกำลังกระซิบกระซาบกันพร้อมกับแม่ทัพฮั่วที่กลั้นขำแทบไม่อยู่ บุตรสาวคนใหม่ของเขาทั้งน่ารัก ขี้เล่นและร่าเริงจนเขานึกหลงเลยทีเดียว
“เจ้าว่าข้างั้นหรือ เจ้าคิดว่าข้า…”
“เพคะ หม่อมฉันคิดว่าพระองค์คงรักผู้ใดไม่เป็น”
“ปึก!! อาจารย์ เรื่องประชุมราชสำนักในวันพรุ่งนี้คงต้องรบกวนท่านอีกครั้ง”
“เอ่อ…กระหม่อมจะทำเต็มความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ฝากนางด้วย”
“ท่านอ๋องอย่าได้เป็นห่วง กระหม่อมจะดูแลนางอย่างดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องหันมามองอันเฟยอีกครั้งก่อนจะหันกลับเดินออกจากจวนไปโดยมิได้บอกลานาง แต่นางหันมามองหน้าท่านแม่ทัพฮั่วก่อนแล้วจึงถาม
“ท่านพ่อบุญธรรม ข้าถามหน่อยสิเหตุใดเขาต้องโกรธขนาดนั้น”
“เฮ้อ…นี่อันเฟยเจ้าอย่าได้พูดอะไรเช่นนั้นออกไปอีกนะ เจ้านี่นะเหตุใดไปยั่วโมโหพระองค์ได้เช่นนั้นกัน”
“อ้าว ก็ข้าไม่ได้พูดผิดนะเจ้าคะก็ดูหน้าเขาสิเจ้าคะ จะดีใจ เสียใจก็หน้าเดียวตลอดไม่รู้ว่าจะเย็นชาไปถึงไหน”
“ที่พระองค์เป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกหรอก เรื่องนี้มันก็….”
“ท่านพ่อ ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิเจ้าคะ มันเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่ว่าข้าสอดรู้นะเจ้าคะแต่ข้าต้องไปเป็นพระชายาจำเป็นให้เขา ก็ต้องรู้ว่าเหตุใดที่ท่านอ๋องต้องทำตาขวางคลองเช่นนั้นตลอด”
“คือว่า ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องมีสตรีที่เคยคิดจะหมั้นหมายกันเอาไว้ก่อนที่เขาจะออกไปรบ แต่เมื่อนำชัยชนะกลับมายังเมืองหลวงและตั้งใจว่าจะอภิเษกกับสตรีผู้นั้นก็พบว่า….”
“ให้ข้าเดานะเจ้าคะ นางตาย หรือไม่นางก็แต่งกับบุรุษอื่นไปแล้วเขาเลยเสียใจ”
“ใช่ เป็นอย่างที่เจ้าคาดเดา นางแต่งกับบุรุษอื่นก่อนจริง ๆ และคนผู้นั้น ก็คือองค์รัชทายาท…เป็นพี่ชายของพระองค์เอง”
“วะ…ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ พี่ชาย!! แย่งคนรักน้องชายตัวเอง”
“เรื่องนี้…ไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้นอกจากพวกเขาทั้งสามคน”
“ท่านพ่อ สตรี ไม่ใช่ เช่นนั้นต้องเรียกนางว่าไท่จื่อเฟยผู้นั้นถูกบังคับให้แต่งงานหรือว่า…นางเต็มใจเจ้าคะ”
“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าตอนนี้นางตั้งครรภ์แล้ว เรื่องนี้ทำให้ฝ่าบาทพอพระทัยมากและเพราะไม่อยากให้ท่านอ๋องทรงน้อยเนื้อต่ำพระทัย ฝ่าบาทจึงประทานสนมมาเพิ่มให้อีกคนหลังจากที่ประทานบุตรสาวแม่ทัพแดนใต้แซ่ลี่นั่นมาให้ก่อนหน้านั้น”
“เช่นนั้นแมลงน่ารำคาญที่เขาพูดก็คือ….พวกนางนี่เองสินะ"
“ใช่ คงเป็นเช่นนั้น เพราะท่านอ๋องไม่เคยสนใจพวกนางเลยเพราะเป็นสนมที่ได้รับพระราชทานมาและยังสร้างความรำคาญอยู่ตลอดเวลา พวกนางวัน ๆ เอาแต่เรียกร้องความสนใจโง่ ๆ จากท่านอ๋อง ซึ่งเจ้าก็เห็นแล้วนี่ พระองค์เย็นชาและ…”
“ปากร้าย ใจแข็ง พูดตรงราวกำปั้นทุบดินและเย็นชาแทบจะเหมือนก้อนน้ำแข็งเลยเจ้าค่ะ”
“ฮ่า ๆ เดิมทีพระองค์ก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ข้าเองก็คิดว่าอาจเพราะพระองค์เป็นเช่นนี้ดังนั้นสตรีสกุลหานผู้นั้นจึงได้…”
“องค์รัชทายาทเป็นคนเช่นไรหรือเพคะ”
“องค์ชายสองพระองค์ ท่านอ๋องเป็นบุตรที่ประสูติจากพระสนมเซียว ซึ่งเป็นพระสนมที่ฝ่าบาทรักมากที่สุด แต่นางอายุสั้นเหลือเกิน องค์ชายตอนนั้นมีอายุเพียงแปดพรรษาเท่านั้นตอนที่นางจากไป องค์ชายรองในตอนนั้นจึงขอติดตามข้าเพื่อฝึกวิชาและตามออกทัพจับศึกจนพระชนมายุครบยี่สิบจึงกลับมาที่เฉินโจวและพบกับ “หานจินซือ" ผู้นั้น"
“ที่แท้เขาเป็นถึงองค์ชายรอง แต่มียศเป็นท่านอ๋อง”
“ยศชินอ๋องมอบให้ตอนที่ท่านอ๋องกลับมาจากศึกครั้งสุดท้าย เมื่อได้รับยศชินอ๋อง พระองค์ก็ขอแยกจวนออกมาอยู่นอกวังทันที เจ้าเองก็น่าจะเดาออกแล้วหลังจากนั้น"
“เฮ้อ…รักสามเส้า เช่นนี้ข้ามิแย่หรือเจ้าคะ”
“เจ้าทนแค่หกเดือนมิใช่หรือ ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าก็แค่เล่นไปตามบทบาทก็พอแล้ว รอข้ากับท่านอ๋องกลับไปยังชายแดนบูรพาเจ้าก็หมดหน้าที่แล้ว”
“นั่นสิเจ้าคะ นี่ข้าคิดผิดใช่หรือไม่ที่บ้ารับงานนี้”