บทที่ 6 เรื่องราวแต่หนหลัง
บทที่ 6
เรื่องราวแต่หนหลัง
หลี่หนิงอ้ายเดินออกมาจากในถ้ำ นางก็พบเข้ากับเจ้าจงเซ่อ ม้าคู่ใจของนางโดยที่ขาหลังมีผ้าพันเอาไว้ เมื่อก้มไปดูก็เห็นว่ามีสมุนไพรพอกเอาไว้ด้วย นับว่าคนผู้นั้นยังมีแก่ใจดูแลม้าให้นาง ดาบและธนูก็อยู่ครบถ้วน เมื่อหันมองไปรอบๆ ถ้ำก็ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ทั้งบริเวณนี้ยังเงียบยิ่งนัก
หลี่หนิงอ้ายกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า แล้วควบขี่ไปยังทางที่นางยังพอจดจำได้ ก่อนที่จะถูกบุรุษชุดดำที่ลักพาตัวมาที่ถ้ำแห่งนี้ จนผ่านไปหนึ่งเค่อจึงพบเข้ากับลำธาร จากนั้นนางจึงหยิบพลุส่งสัญญาณแล้วจุดขึ้นฟ้าไป ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของพี่ชายใหญ่และพี่ชายรอง
“อ้ายเอ๋อร์ อ้ายเอ๋อร์เจ้าอยู่ตรงไหน”
หลี่หมิงหลงตะโกนเรียกเสียงดังด้วยความร้อนใจ เขาเห็นพลุส่งสัญญาณแถวบริเวณนี้จึงรีบตรงเข้ามาที่นี่ทันที
“ทางนี้เจ้าค่ะ ข้าอยู่ทางนี้เจ้าค่ะพี่ใหญ่”
หลี่หนิงอ้ายตะโกนตอบ ไม่นานก็พบบุรุษสองคนควบม้านำหน้ากลุ่มคนเข้ามา
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่หมิงหลงรีบบังคับม้าไปหาผู้เป็นน้องสาว เขากระโดดลงจากหลังม้า จับร่างบางหมุนตัวไปมาเพื่อมองหาร่องรอยของบาดแผล แต่นอกจากรอยบวมแดงของริมฝีปากนาง เขาก็ไม่พบร่องรอยบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้น ร่างหนาจึงพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ปากเจ้าไปโดนตัวอะไรกัดมา”
หลี่หมิงเฟยที่ตามมาสมทบอีกคนสังเกตเห็นปากของน้องสาวบวมช้ำ ก็อดจะเอ่ยปากถามออกมาไม่ได้
“นี่…ผึ้งเจ้าค่ะ มีผึ้งตัวหนึ่งบินมาต่อยปากข้า”
หลี่หนิงอ้ายยกมือขึ้นมาจับริมฝีปากของตนเอง สมองของนางรีบคิดหาทางออกให้ตนเอง เวลานี้ก็คงต้องโกหกเช่นนี้ไปก่อน หากบอกว่านางถูกบุรุษปากเหม็นผู้หนึ่งมากัดปากของนาง
ท่านพี่ทั้งสองจะต้องตามล่าหาตัวบุรุษผู้นั้นทันที และเรื่องนี้อาจจะล่วงรู้ไปถึงสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นหนานด้วย นางไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต จึงจำต้องโกหกท่านพี่ทั้งสอง
หลี่หมิงหลงกับหลี่หมิงเฟยก็ไม่ได้ติดใจสงสัยสิ่งใด เมื่อเห็นว่าน้องสาวปลอดภัยดีไม่ได้รับอันตราย จึงพากันกลับไปยังที่พัก เพราะตอนนี้ฟ้าใกล้จะมืดเต็มทีแล้ว หากกลับช้าจะต้องโดนท่านแม่ดุเอาได้
จากนั้นทุกคนจึงเร่งควบม้ากลับไปยังที่พัก ส่วนม้าของหลี่หนิงอ้ายนั้นมันเป็นม้าที่แสนรู้เป็นอย่างมาก มันจึงวิ่งตามเจ้านายสาวกลับมาด้วย
งานเลี้ยงช่วงค่ำของคืนนี้ จัดที่ลานโล่งหน้ากระโจมที่พักของฮ่องเต้หนานเฟยฉี ปีนี้พระองค์มีพระชนม์มายุครบ 50 พรรษา ซึ่งงานครั้งนี้พระองค์ได้จัดร่วมกับวันพระราชสมภพของพระองค์ด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณมากเกินไป จึงได้จัดวันนี้วันเดียว
ฮ่องเต้หนานเฟยฉีนั้นทรงมีฮองเฮาพระนามว่า เว่ยลี่หลิน หรือก็คือพระขนิษฐาของฮ่องเต้เว่ยหลงแห่งแคว้นเว่ย ทั้งสองพระองค์พบรักกันเมื่อครั้งที่ฮ่องเต้หนานเฟยฉีไปร่วมงานพระราชสมภพ 70 ปีของไทฮองไทเฮาแห่งแคว้นเว่ย
ทั้งสองได้บังเอิญพบกันที่ตลาดมืด ตอนที่ปลอมตัวเป็นสามัญชน โดยฮ่องเต้หนานเฟยฉีได้ออกหน้าคืนความเป็นธรรมแก่เว่ยลี่หลิน ที่โดนกล่าวหาจากพ่อค้ามืดว่าขโมยสินค้าจากร้านของเขา ซึ่งที่จริงแล้วของสิ่งนี้คือของพระราชทานที่ไทฮองไทเฮาเป็นผู้มอบให้ด้วยพระองค์เอง คือแหวนที่ทำจากแร่ทองที่มีลายแกะสลักงดงามอ่อนช้อย แล้วยังประดับหัวแหวนด้วยพลอยสีแดงเลือดนกที่มีค่าควรเมืองเป็นอย่างยิ่ง
วันนั้นฮ่องเต้หนานเฟยฉีออกหน้าช่วยสาวงามที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ แต่เพียงแค่มองเขาก็รู้ได้ทันที ว่านางนั้นคือสตรีที่มีรูปโฉมงดงามหมดจรดอย่างแน่นอน ด้วยความช่วยเหลือในครั้งนั้นจึงทำให้เว่ยลี่หลินรอดพ้นจากการถูกกล่าวหามาได้ ทั้งยังไม่ทำให้เรื่องนี้รู้ไปถึงหูคนในวังว่านางนั้นได้ลอบหนีออกมาจากวัง แล้วยังต้องมาโดนหมิ่นเกียรติเช่นนี้อีก
หากเรื่องนี้รู้ไปถึงเสด็จพี่ฮ่องเต้ และไทฮองไทเฮา นางจะต้องโดนสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในตำหนัก แล้วยังต้องโดนเทศนาจากทั้งสองพระองค์เป็นแน่
เว่ยลี่หลินจึงได้ซาบซึ้งน้ำใจของหนานเฟยฉีในครั้งนี้เป็นอย่างมาก นางจึงได้ตอบแทนเขา โดยการพาไปเลี้ยงอาหารมื้อค่ำที่โรงเตี๊ยมชื่อดังของเมืองหลวงแคว้นเว่ย แล้วทั้งสองก็ได้แยกทางกันโดยไม่ได้บอกชื่อแซ่ให้อีกฝ่ายได้รู้ รู้เพียงแค่นามว่า อาฉี และอาหลินเท่านั้นเพราะทั้งสองต่างคนต่างก็ปลอมตัวออกมาเช่นกัน
แต่ใครจะคิดว่าทั้งสองจะได้พบกันอีกครั้งในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของไทฮองไทเฮา ซึ่งครั้งนี้พบกันในฐานะที่แท้จริงคือฮ่องเต้แห่งแคว้นหนาน และองค์หญิงคนสำคัญแห่งแคว้นเว่ย นับแต่นั้นมาทั้งสองก็ได้มีใจปฏิพัทธ์ร่วมกัน
หลังจากฮ่องเต้หนานเฟยฉีกลับมาถึงแคว้นหนาน ก็ได้ส่งพระราชสาส์นถึงฮ่องเต้เว่ยหลง เพื่อขอแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น โดยจะแต่งตั้งองค์หญิงเว่ยลี่หลินขึ้นเป็นฮองเฮาเคียงบัลลังก์
ฮ่องเต้เว่ยหลงเองก็ยินดียิ่งนัก จึงตอบตกลงทันที ด้วยรู้ว่าน้องสาวที่รักยิ่งนั้นมีใจให้ฮ่องเต้หนานเฟยฉีเช่นกัน งานมงคลทั้งสองแคว้นจึงได้เกิดขึ้น ท่ามกลางความยินดีของทั้งสองแคว้น จะมีก็เพียงแคว้นซ่งที่รู้สึกเหมือนกำลังโดนคุกคามทางอ้อม
หลังจากงานมงคลสมรสระหว่างสองแคว้นผ่านไปด้วยดี ก็ได้เกิดสงครามขึ้นที่ชายแดนทางทิศเหนือที่อยู่ติดกับแคว้นซ่ง ที่เป็นรอยต่อระหว่างดินแดนรกร้างที่มีแม่น้ำเซ่อฮั่วขวางกั้นไว้
ฮ่องเต้แคว้นซ่งคิดว่าหากทั้งสองแคว้นร่วมมือกันหมายจะยึดครองแคว้นซ่ง ก็จะเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างง่ายดายนัก ด้วยเหตุนี้แคว้นซ่งจึงได้ลอบร่วมมือกับชาวนอกด่าน โดยให้การสนับสนุนด้านเงินทอง แร่เหล็ก และยาพิษที่ได้มาจากจ้าวลี่ผิง ประมุขแห่งสำนักวารีสวรรค์ในเวลานั้น
ฮ่องเต้แคว้นซ่งกับหัวหน้าเผ่านอกด่านได้ตกลงกันไว้ว่าหากยึดแคว้นหนานได้สำเร็จ ก็จะแบ่งดินแดนกันคนละครึ่ง ส่วนแคว้นเว่ยเองก็จะยกให้หัวหน้าเผ่านอกด่าน หากสามารถตีแคว้นเว่ยได้เช่นกัน
แต่ทุกอย่างกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ด้วยมันสมองแห่งยุคอย่างจวิ้นอ๋องหนานเฟยหย่า ผู้เป็นดั่งกุนซือผู้วางแผนการรบอย่างชาญฉลาด และด้วยกำลังทหารอันแข็งกล้าของกองทัพแห่งแคว้นหนานโดยมีชินอ๋องหนานเฟยอวี่ ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ยังออกรบไม่เคยแพ้สักครั้งมาเป็นผู้นำทัพในครั้งนี้ด้วยพระองค์เอง
แคว้นหนานใช้เวลากว่าสองปีจึงสามารถเอาชัยเหนือชาวนอกด่านได้สำเร็จ จนขับไล่ชาวนอกด่านให้ออกไปจากแผ่นดินใหญ่ ให้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ยังแผ่นดินรกร้าง โดยมีแม่น้ำเซ่อฮั่วกั้นกลางแบ่งเขตแดนไว้ชัดเจน ทำให้ชาวนอกด่านไม่อาจจะรุกรานเข้ามาได้อีกต่อไป
ส่วนแคว้นซ่งนั้นก็ต้องเสียค่าสินสงครามแก่แคว้นหนานเป็นเวลา 5 ปี และต้องทำหนังสือสัญญาสงบสุข โดยหนังสือสัญญาสงบศึกฉบับนี้มีท่านประมุขทั้งสามสำนักมาร่วมลงนามเป็นพยานด้วย
หนังสือสัญญาฉบับนี้ระบุไว้ว่าหากแคว้นใดคิดรุกรานแคว้นอื่น จะต้องถูกทำลายทิ้งทันทีโดยไม่สนว่าจะมีสำนักใดให้การคุ้มครอง และประมุขแห่งสำนักพยัคฆ์ผยองที่เป็นผู้แข็งแกร่งมากที่สุด จะเป็นผู้ลงทัณฑ์ผู้ผิดสัญญาด้วยตนเอง
ประมุขสำนักวารีสวรรค์คนก่อนมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับฮ่องเต้แคว้นซ่ง จึงให้การสนับสนุนในการก่อสงครามในครั้งนี้ โดยมอบยาพิษจำนวนมากให้แก่หัวหน้าเผ่านอกด่าน จึงทำให้ทหารแคว้นหนานต้องตกตายด้วยยาพิษไปหลายคน รวมถึงชินอ๋องที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกพิษเช่นกัน แต่โชคดีที่ได้หมอหญิงผู้หนึ่งรักษาเอาไว้ได้ทัน
ประมุขแห่งสำนักพยัคฆ์คนก่อน นามว่าเหวินซีห้าว ได้สั่งลงทัณฑ์ให้ทั้งสองคนดื่มยาพิษที่ใช้กับทหารแคว้นหนาน จนทั้งสองได้สิ้นใจตายไปพร้อมกัน เหวินซีห้าวกับถังเฉินประมุขสำนักพิภพปฐพีร่วมกับผู้อาวุโสแห่งสำนักวารีสวรรค์ ได้ทำการจัดพิธีแต่งตั้งให้จ้าวเหมยฮวาที่ในเวลานั้นอายุเพียง 17 ปีขึ้นเป็นประมุขสำนักวารีสวรรค์คนถัดไป
องค์ชายซ่งตงหยางได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นหนาน ที่ในเวลานั้นเป็นเพียงองค์ชายนอกสายตา แต่เพราะเขาได้ลอบให้การช่วยเหลือชินอ๋อง เขาจึงได้รับเลือกให้ขึ้นเป็นฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์แห่งแคว้นซ่ง
หลังจากสงครามในครั้งนั้นเมื่อ 30 ปีก่อนผู้คนจึงได้ขนานนาม ฮ่องเต้หนานเฟยฉี ชินอ๋องหนานเฟยอวี่ และจวิ้นอ๋องหนานเฟยหย่า ให้เป็นสามบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นหนานจวบจนปัจจุบัน