บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 เรื่องไม่คาดฝัน

บทที่ 4

เรื่องไม่คาดฝัน

หลี่หนิงอ้ายยกยิ้มบางเบาออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงลอบดีดลูกหินใส่ม้าขององค์ชายห้าที่ขาหลัง ม้าที่องค์ชายห้าทรงขี่นั้นตกใจจึงห้อตะบึงไปข้างหน้า จากนั้นยกขาหน้าแล้วสะบัดองค์ชายห้าตกลงมา โชคดีที่มีองครักษ์เข้าไปช่วยไว้ได้ทัน จึงทำให้องค์ชายห้าผู้นี้เพียงขาแพลงเล็กน้อยเท่านั้น

หนานหนิงเฉิง หลี่หมิงหลง และหลี่หมิงเฟยลอบส่งสายตาคาดโทษมาให้หลี่หนิงอ้าย แต่นางทำเพียงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วบังคับม้าให้ออกไปอีกทางหนึ่ง นี่ถือว่านางปรานีองค์ชายห้าผู้นี้มากแล้ว กล้าใช้สายตาเช่นนั้นมองนาง แล้วยังพูดจาเช่นนั้นอีก นางไม่คว้าธนูมายิงให้ลูกตาบอดก็ดีแค่ไหนแล้ว

หึ...

หนานหนิงเฉิงรับสั่งให้องครักษ์มาพาตัวซ่งจางหย่งกลับไปยังกระโจมที่พัก ทั้งยังไม่ลืมสั่งให้คนสนิทลอบไปกระซิบบอกความแก่เสด็จพ่อถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และยังกำชับว่าองค์ชายห้าผู้นี้ได้หมายปองหลี่หนิงอ้ายแล้ว ขอให้เสด็จพ่อรีบคิดแผนการขัดขวางก่อนที่จะมีการทาบทาม เพื่อหวังให้มีการเชื่อมความสัมพันธ์ผ่านทางงานมงคลสมรส

“อ้ายเอ๋อร์ ซุกซนเกินไปหรือไม่” หลี่หมิงหลงบังคับม้าขี่มาขนาบข้างผู้เป็นน้องสาว

“ท่านพี่ไม่เห็นที่องค์ชายผู้นี้ใช้สายตามองข้าหรือเจ้าคะ”

“พี่ไม่ได้ตาบอด”

“ถ้าเช่นนั้นท่านพี่ก็อย่าได้มาตำหนิข้าเลยเจ้าค่ะ”

“พี่ไม่ได้จะตำหนิเจ้า แต่หากเจ้าจะทำอะไรก็มาปรึกษาพี่เสียก่อน ถึงอย่างไรองค์ชายห้าผู้นี้ก็เป็นถึงองค์ชายคนสำคัญของแคว้นซ่ง หากเขารู้ว่าเป็นฝีมือของเจ้าจะทำอย่างไร”

“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ เป็นข้าที่วู่วามไป แต่ท่านพี่อย่าได้เป็นห่วง ข้าแน่ใจว่าไม่ถูกจับได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

จากตอนแรกที่ทำสีหน้าเศร้าสลด แต่มาตอนนี้กลับส่งยิ้มประจบมาให้แก่เขา เช่นนี้เขาจะกล้าตำหนินางได้อย่างไร

หลี่หนิงอ้ายนั้นแม้จะมีนิสัยซุกซน และตอบโต้กับผู้ที่นางไม่ชอบ ด้วยความรุนแรงไปบ้าง แต่นางก็ถือคติว่าไม่ทำผู้ใดก่อน หากว่าไม่มีผู้ใดมาทำนางก่อน ความจริงเขานั้นก็คิดจะแก้เผ็ดองค์ชายห้าผู้นี้ ที่บังอาจมาใช้สายตาแทะโลมกับน้องสาวของเขา แต่คาดไม่ถึงว่านางจะลงมือได้อย่างรวดเร็วและเงียบเชียบยิ่งนัก กว่าเขาจะรู้ตัวก็ตอนที่ม้าขององค์ชายห้าวิ่งไปข้างหน้าแล้ว

“โอ๊ะ กระต่ายป่า ท่านพี่ข้าขอไปล่ากระต่ายป่าก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะทำน้ำแกงกระต่ายป่าไปถวายเสด็จลุงกับท่านแม่"

หลี่หนิงอ้ายหันมาส่งยิ้มหวานให้พี่ชาย แล้วบังคับม้าแยกไปอีกทาง หลี่หมิงหลงจึงสั่งให้องครักษ์สี่นายติดตามไปอารักขาด้วย

เมื่อแยกตัวออกมาหลี่หนิงอ้ายก็ควบม้าไปทางที่กระต่ายป่าวิ่งหนีหายไปทันที นางคว้าธนูขึ้นมาเล็งยิงไปที่กระต่ายป่าตัวสีขาว แต่ม้าที่ขี่อยู่ก็เกิดพยศวิ่งห้อตะบึงออกไปทันที หลี่หนิงอ้ายตกใจแต่ก็พยายามควบคุมสติรีบจับบังเหียนม้าไว้แน่น แนบกายเอนตัวลงไปขนาบกับลำตัวของม้าเพื่อลดแรงปะทะ นางพยายามจะดึงบังเหียนม้า เพื่อให้ม้าหยุดวิ่งแต่ม้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดวิ่งเลย

“จงเซ่อ จงเซ่อ!!”

หลี่หนิงอ้ายพยายามลูบหัวเจ้าจงเซ่อ และเอ่ยปลอบมัน แต่เจ้าจงเซ่อก็ไม่ได้ผ่อนแรงวิ่งเลย กลับวิ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

เมื่อนางหันกลับไปมองทางด้านหลังก็เห็นเหล่าองครักษ์รีบควบม้าตามมาด้วย พี่ชายทั้งสองที่ได้ยินเสียงเอะอะทางด้านนี้ เมื่อหันมาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็รีบควบม้าตามหลังมาทันที สีหน้าทั้งสองฉายชัดถึงความกังวลและตกใจ

เจ้าจงเซ่อวิ่งไกลออกมาจนหยุดอยู่ตรงลำธาร เมื่อหันไปทางด้านหลังนางก็ไม่พบผู้ใดแล้ว ลงมาจากหลังม้าเมื่อสังเกตท่าทางของเจ้าจงเซ่อที่ดูแปลกไป จึงรู้ได้ในทันทีว่าม้าของนางนั้นโดนลอบโจมตีเป็นแน่ เพราะที่ขาหลังด้านซ้ายมีรอยเลือด เมื่อมองดูจึงรู้ว่าเป็นรอยคมมีด นี่คือสาเหตุที่ทำให้ม้าของนางพยศนั่นเอง

หลี่หนิงอ้ายรีบหยิบกระบี่ออกมา นางเฝ้าระวังตัวด้วยความสุขุม การที่นางแยกออกมาจากกลุ่มเพียงผู้เดียวอาจจะเป็นฝีมือของมือสังหารก็เป็นได้

เสียงฝีเท้ามาจากทางด้านหลัง นางกำลังจะหันหลังกลับไปมอง ก็โดนสะกดจุดตรงต้นคอ ทำให้ไม่อาจจะเปล่งเสียงหรือขยับตัวได้เลย ดาบในมือหลุดร่วงตกลงมา ดวงตาดอกท้อทอประกายหวาดกลัวออกมาชั่วครู่ ก่อนจะสงบนิ่งด้วยความสุขุม

“ต้องขออภัยคุณหนูด้วยขอรับ พวกข้าน้อยไม่มีทางเลือกจริงๆ ขอรับ”

ชายชุดดำที่สวมหน้ากากเหล็กสีเงินเงาวาวครึ่งใบหน้าหันมาค้อมหัวขออภัย

ส่วนชายชุดดำอีกคนหนึ่งที่แต่งกายเหมือนกับคนแรก เข้าไปจูงม้าและเก็บดาบของนางไปไว้ที่เดิม ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน แล้วชายผู้หนึ่งก็อุ้มนางพาไปยังที่แห่งหนึ่ง ผ่านไปกว่าหนึ่งเค่อชายชุดดำถึงได้วางนางลงกับพื้น

ถ้ำขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า ภายในมีคบไฟวางไว้อยู่ตรงผนังถ้ำ ทำให้ภายในถ้ำไม่มืดเกินไปนัก นางถูกพามาไว้ตรงก้อนหินใหญ่ที่ทำให้เป็นที่นั่งมีพรมวางทับเอาไว้ เมื่อสายตาเริ่มคุ้นชินจึงทำให้เห็นว่านอกจากนางแล้วยังมีเงาบุรุษผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิเหมือนกับกำลังนั่งเดินกำลังภายใน

เหวินซีซวนกำลังนั่งสมาธิ เพื่อเดินลมปราณระงับพิษบุปผากลืนกิน ซึ่งพิษนี้เป็นพิษที่เขาได้รับตั้งแต่เยาว์วัย พิษชนิดนี้เป็นพิษของธาตุหยินโดยสกัดจากบุปผากว่าร้อยชนิด เขาจะต้องได้รับลมปราณจากธาตุหยิน เขาถึงจะขับพิษออกมาได้ โดยการขับพิษนั้น จะต้องกระทำโดยการที่เขาจะต้องร่วมรักกับสตรีที่มีธาตุหยินเข้มข้นถึงสิบส่วน โดยเขาจะปลดปล่อยพิษบุปผากลืนกินผ่านทางน้ำกาม

ยิ่งในวันที่พระจันทร์เต็มดวงพิษบุปผากลืนกินจะกำเริบ จนเขาต้องทนทุกข์ทรมานกับการที่ร่างกายร้อนผ่าวต้องการปลดปล่อย เดิมทีเขาได้กราบท่านอาจารย์จื้อเจิน ปรมาจารย์หัตถ์เทพเทวะเป็นอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์สามารถปรุงยาเพื่อระงับพิษให้ออกฤทธิ์น้อยลงได้เพียงเท่านั้น ไม่สามารถถอนพิษออกมาได้ทั้งหมด

เดิมทีเขาจะมียาระงับพิษติดตัวไว้ตลอด แต่ยาพึ่งจะใช้หมดไปเมื่อสามวันก่อนที่เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เพราะเดินทางมางานล่าสัตว์เขาจึงคิดว่าหลังจากจบงานจึงจะเดินทางไปขอยาเพิ่มจากท่านอาจารย์ แต่คาดไม่ถึงว่าพิษจะมากำเริบในเวลานี้ ทั้งที่ไม่ใช่วันที่พระจันทร์เต็มดวง แต่กลับเป็นตอนกลางวัน พิษบุปผากลืนกินกลับกำเริบขึ้นมาได้ ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก

“อ๊ากกกกกก” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานดังลั่นทั่วผนังถ้ำ จนเกิดเป็นเสียงกังวานดั่งเป็นทอดๆ

หลี่หนิงอ้ายที่ขยับตัวได้แล้ว จึงค่อยๆ ลุกเดินเข้าไปด้วยความสงสัย บุรุษผู้นี้คือผู้ใดกัน ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ไม่สวมใส่เสื้อผ้ากลับมานั่งเปลือยกายที่มีมัดกล้ามเป็นลอนสวยมานั่งอยู่ในถ้ำเช่นนี้ เอ๊ะทำไมผิวของเขาถึงกลายเป็นสีดำ ผ่านไปครู่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

“ท่าน คุณชาย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่”

หลี่หนิงอ้ายเดินไปหยุดยืนตรงด้านข้างแล้วเอ่ยเรียกเบาๆ

เหวินซีซวนที่กำลังนั่งสมาธิเดินลมปราณเพื่อข่มพิษบุปผากลืนกินอยู่นั้น พลันจมูกกลับได้กลิ่นหอมเย็นโชยมา เป็นกลิ่นที่คล้ายกับดอกเหมยฮวา แต่ก็มีกลิ่นหอมเย็นสดชื่นของใบโป้เหอ เหวินซีซวนลืมตาขึ้นมามองหันไปทางกลิ่นหอมนั้น พบเข้ากับสตรีผู้หนึ่งที่เขาเคยเห็นตอนที่นางขี่ม้าอยู่กับหลี่หมิงเฟย

“เจ้า ออกไป!!”

เหวินซีซวนคำรามไล่ร่างบางให้ออกไป ยิ่งเขาได้กลิ่นหอมจากกลิ่นกายของนาง เขาเริ่มจะควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel