3
และเมื่อเงินก้อนใหญ่ที่ได้กู้มา ได้ยิง Ads โฆษณาออกไป
“จบเห่” มีคนเข้าดูเยอะมาก...แต่น้อยมากที่จะสามารถปิดการขายได้สำเร็จ
เงินกู้นี้เป็นเงินระยะสั้น ดอกมหาโหด เพราะเธอไม่ได้มีเครดิตหรือหลักประกันอะไรมากนัก และอีกไม่กี่วัน...ก็ถึงเวลาต้องชำระดอกเบี้ยแล้ว
‘เป็นไงบ้างลูก’ นวลใย ภูพิสัย โทรมาสอบถามสารทุกข์สุกดิบบุตรสาว ที่เงียบไปหลายวัน
“แม่...หนูไม่เหลืออะไรแล้ว” นั่นคือคำตอบที่บีบไปทั้งใจมารดา ผู้ไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่ที่เธอคิดจะลาออก
“หนูคงมาได้ไกลแค่นี้จริงๆ นั่นแหละแม่...” เสียงสะอื้นดังสะท้อนตามมา จนมารดาต้องรีบปลอบใจ
‘ไม่เป็นไร กลับไปทำงานประจำนะลูก’ คนที่มีความหลังหลายๆ อย่างเกี่ยวกับการทำงาน แอบใจหาย
“ค่ะแม่...ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น” เธอว่าอย่างตัดใจ ยอมรับในผลที่ตามมา
แทบหมดแรงแหละ...แต่ก็ต้องลุกต่อไป!
Patcharee Ketsutha: ว่าไงเพื่อน เงียบไปนานเลยนะ ยุ่งกับการขายของเหรอ ฉันเห็นใน Tiktok อยู่ น่าจะขายดีแหละ
นิชนันท์ถอนหายใจออกมาดังๆ เมื่อเห็นข้อความของคนที่กัดไม่ปล่อยส่งมา
อยากจะด่ากราด พิมพ์รัวๆ ใส่ไปเลย แต่ก็กลัวว่าจะยิ่งได้ใจฝ่ายนั้น แคปเจอร์ไปโพสต์ประจานอีก
Nichanan Phu: ใช่จ้ะ ขอบใจที่เป็นห่วงนะ แต่สินค้ามีพร้อมแล้วนะ รับตัวไหนดี
ว่าพร้อมส่งรูปไปให้เลือกแบบไม่ได้คิดอะไร หาโอกาสที่จะขายไปด้วยซะเลย
Patcharee Ketsutha: เดี๋ยวขอคิดดูอีกทีก่อนนะแก พอดีว่าฉันเพิ่งจะซื้อครีมเคาท์เตอร์แบรนด์ไปน่ะ แพงมากนะ...ตัวหนึ่งตั้งหลายพัน
นิชนันท์เบ้หน้า พร้อมเมินแชทนั้นเสียและไม่ไปเสวนาต่ออีก และเดินหน้าหางานใหม่ในทันที
และแล้ว...งานของตัวเองที่คิดว่ายังไงก็ไม่ตกงานแน่ๆ
กลับ...
‘ตอนนี้ทางเรายังไม่มีตำแหน่งว่าง แต่สมัครไว้ก่อนได้นะคะ เดี๋ยวจะเรียกสัมภาษณ์อีกที’
ทุกโรงพยาบาลแจ้งมาแบบนี้ ถ้าให้นับก็คงจะ 10 ที่แล้ว
“เฮ้อ...ให้มันได้อย่างนี้สิชีวิต” หญิงสาวทิ้งตัวลงไปบนที่นอน ปรึกษากับเพดานนึกถึงวันเวลาที่ผ่านเลยล่วงมา
คนที่ไม่เคยนึกถึงตัวเองเลยอย่างเธอ ประเคนทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองหามา ให้กับครอบครัวไปจนหมด...ไม่เว้นแม้แต่ญาติพี่น้อง
แม้ในวันที่เธอตัดสินใจลาออก ก็ไม่มีใครเห็นด้วย
แต่พอเธอทำแล้วมันไปได้ดี ใครก็ต่างมามีส่วนได้กับผลกำไรทั้งหมดนั่น
พี่สาวมีรถขับ
พ่อแม่มีบ้านอยู่
น้องชายได้คอนโดใจกลางกรุง...
และในคราวที่วันนี้เธอมีปัญหา กลับไม่มีสักคนที่จะสามารถหยิบยื่นเข้ามาช่วยเหลือ
“ตอนช่วยเขาได้ ก็เหมือนเป็นเพราะหน้าที่”
“ตอนช่วยไม่ได้แล้ว ก็เลวเหลือดี หึหึ” เธอว่าพร้อมส่ายหัว เพราะเมื่อกลางวันที่ผ่านมา..พี่สาวเพิ่งจะโทรมาด่า เพราะเธอไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำไฟให้พ่อแม่
ทั้งๆ ที่เพิ่งจะจ่ายค่างวดรถให้พี่สาวและหนี้สินของพ่อไป
แต่ก็นั่นแหละ เธอไม่คิดที่จะโกรธใครและชีวิตมันต้องเดินหน้าต่อ
ตื๊ด!
อ้อ calling
“ว่าไงอ้อ” ลูกน้องที่ช่วยเรื่องกู้เงินโทรเข้ามา ซึ่งเธอก็พอจะเดาเหตุการณ์ได้
‘เจ้...มีเงินรึยัง ต้องตัดดอก 3 หมื่นรู้รึเปล่า’
รู้..แต่ยังไม่มี
“คือตอนนี้เจ้กำลังหางานทำอยู่อ่ะ...ขอผลัดไปก่อนได้เปล่า”
‘ไม่ได้เลยเว้ยเจ้ รายนี้ไม่เหมือนรายอื่นนะ...ขอผลัดคือตัดนิ้ว เจ้จะยอมป่ะล่ะ’ ลูกน้องว่าอย่างรู้สึกขยาด จนเธอต้องหลับตาลง
ความร้อนผ่าว ท่วมท้นไปทั่วใบหน้าและลำคอ
“ช้าสุดได้วันไหน”
‘เขาบอกว่า 3 วันเจ้...’
“3 วัน! ทำไมมันน้อยจังอ่ะ”
‘ไม่รู้แหละ หนูไม่อยากซวยไปด้วยนะ’
“เออ รู้แล้ว ขอบใจมากนะที่ช่วยพี่...เอาเบอร์พี่ให้เขาไป ให้เขาติดต่อมาเองนะ” แล้วเธอก็กดตัดสาย ปลดปล่อยตัวเองให้ดิ่งจมลงไปกับเตียงด้วยความรู้สึกอ่อนล้า
“สมบัติสักชิ้นติดตัวก็ไม่มีแล้ว...” เธอค่อยๆ พูดออกมา เมื่อนึกได้ว่าจะเอาอะไรไปเปลี่ยนมาเป็นเงินได้บ้าง
‘ผู้หญิงเราน่ะ...ถ้าอยากจะมีค่าก็ต้องรักนวลสงวนตัว เก็บพรหมจารีเอาไว้ให้ดี...’ อยู่ๆ เสียงจากละครที่เปิดทีวีทิ้งเอาไว้ก็แว่วเข้ามาในหัวได้
“พรหมจารีอย่างนั้นเหรอ?”
นิชนันท์ก้มมองที่หว่างขาของตัวเองที่น่าจะมีสิ่งๆ นี้ซ่อนตัวอยู่
มันเป็นสิ่งที่ซ่อนมาตลอด 32 ปี...และไม่เคยถูกทำลายจากฝีมือใคร
“จะมีคนอยากได้อยู่เหรอวะ?” เธอพร่ำกับตัวเองเบาๆ ขึ้นมา พร้อมกดเข้าไปดูอะไรใน Facebook เล่น
‘หญิงชาว...รายหนึ่ง ขายพรหมจารีย์ให้ผู้ชาย ได้เงินไปหลายล้าน’ การพาดหัวข่าวในลิงก์หนึ่งที่โผล่มาบนหน้า New feed ทำเอานิชนันท์รีบคลิกเข้าไปอ่าน
“เมืองไทยจะมีแบบนี้บ้างมั้ยนะ”
เธอว่าอย่างรู้สึกสองจิตสองใจ การขายพรหมจารีก็น่าจะไม่ต่างอะไรกับการขายตัว แต่น่าจะต้องมีมูลค่ามากกว่า
“ไหนๆ เราก็จะไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่ละ ผัวก็ไม่มี...จะเก็บไว้ให้มันกลายเป็นเนื้องอกช่องคลอดในอนาคตไปทำไม” เธอว่าพร้อมพิมพ์ค้นหาใน google ว่าเรื่องแบบนี้ในประเทศไทยพอจะมีรึเปล่า
“ถ้าเราขายก็เสียศักดิ์ศรี แต่เสียศักดิ์ศรี...ก็ไม่เท่ากับเสียหน้า กลับไปทำงานพยาบาลก็คงจะเสียหน้า มีคนเยาะเย้ยว่าไปไม่รอด แต่ถ้าขายพรหมจารี...ก็เสียศักดิ์ศรีอีกนั่นแหละ แต่ก็ไม่มีใครรู้ไง จะต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้..."
เธอคิดไปเองเสร็จสรรพ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะซื้อได้ และค้นหาให้ตาย ก็ไม่มีใครเขาประกาศซื้อเรื่องพวกนี้อย่างโจ่งแจ้ง
“สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องมโนเองนั่นสินะ...”
เธอว่าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พิมพ์เรียงความเกี่ยวกับการขายพรหมจารีของตัวเองลงไป ตามแบบฉบับของคนที่ชอบคิดชอบเขียนนั่นนี่ยาวๆ ลงไปบน Facebook
เขียนแบบมีชั้นเชิง ดูจริงจังและตบด้วยมุกตลก จนคนอ่านไม่ทราบว่า พูดเล่นหรือพูดจริง
ใช่...ครานี้เธอก็ทำแบบนั้น ทำแบบปลายเปิดเชิงขอแสดงความคิด และล้อเล่นกรายๆ ว่าตัวเองอยากจะขาย เพราะมันใกล้ฝ่อแล้ว ใครสนใจให้ทักหลังไมค์ทันที!
พร้อมแนบที่มาของแหล่งข่าว เชิงอธิบายว่า...ที่มาของการเขียนโพสต์นี้นั้น มันมาจากข่าวนี้นะ
และแล้วก็มีคนมาแสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานา
‘ยาวไปไม่อ่าน’
‘เพ้อเนอะ คนรวยเนี่ย’
‘ว่างมากหราาา’
‘เห็นด้วยนะ อยากจะขายบ้าง...สนใจทักเลยค่ะ’
‘สาบานว่ายังซิงอยู่?’
‘มึง กูว่าปูนนี้ละ เอาไปบริจาคเหอะ...ใครจะมาซื้อ5555’
นิชนันท์อ่านไปส่ายหน้าไปกับคำของเหล่าเพื่อนๆ ที่แสดงความคิดเห็นกันไปต่างนานา
‘มโนเก่งขนาดนี้ น่าไปแต่งนิยายขายนะ’ ความคิดเห็นนี้ทำเอาใจของนิชนันท์ เต้นแรงขึ้น
“แต่งนิยายขายงั้นเหรอ...?” ความคิดนี้ไม่เคยมีในหัวของเธอเลยมาก่อน แต่ก็คิดว่าน่าสนใจดี ทั้งที่ตัวเองไม่เคยจะได้เขียนมาก่อน มีเพียงแต่เป็นผู้อ่านเพียงเท่านั้น