ตอนที่ 9 พนักงานใหม่
รถแล่นไปในเส้นทางสู่จังหวัดชลบุรี ปณิตารู้เพียงว่าสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองนัก หากเจ้าของธุรกิจก็มีกิจการหลายอย่างซึ่งกระจายอยู่ทั่วทั้งพื้นที่จังหวัดชลบุรีและรวมถึงพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง
สามชั่วโมงกว่าที่ปณิตานั่งท่ามกลางความเงียบในรถตู้ที่ไม่ถึงกับหรูหรา แต่ก็สบายเกินฐานะพนักงานอย่างหล่อนจะได้รับ...ตามที่เพื่อนชายกระซิบบอกข้างหู
‘รถตู้ก็ดูหรูไม่หยอก แบบนี้มันต้องระดับแมเนเจอร์แล้วนะ แต่คิดอีกทีก็อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าของกิจการเป็นพวกใส่ใจต่อสวัสดิการพนักงาน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น เธอก็โชคดีแล้วที่ได้ทำงานที่นี่’
จนรถแล่นผ่านตัวเมืองชลบุรีและแยกออกไปตามเส้นทางจราจรที่แคบลงกว่าเดิม ชั่วอึดใจก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนส่วนบุคคลผ่านชุมชนเล็กๆ เพื่อมาจอดหน้าอาคารสีเหลืองสี่ชั้นจำนวนสามหลังที่ปลูกสร้างเรียงกันตามแนวถนนที่รถแล่นเข้ามา
“ถึงแล้วครับ” คนขับรถที่เพิ่งเปิดปากพูดเป็นคำแรกบอกผู้โดยสารสามคนที่นั่งข้างหลัง กระทั่งปณิตาออกมายืนรอรับกระเป๋าตรงท้ายรถตู้ ชายคนเดิมก็พูดต่อ พร้อมส่งกระเป๋าให้เธอ
“คุณปณิตาอยู่หอหนึ่งใช่ไหมครับ นั่งรอใต้หอก่อนก็ได้ ผมจะแวะบอกแม่บ้านตรงหอสามให้มาเปิดห้องให้ พอดีผมต้องเอารถไปจอดที่นั่นอยู่แล้ว”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
คนมาใหม่บอกพลางกวาดตามองสถานที่แปลกใหม่ด้วยความไม่คุ้นเคย อีกวูบหนึ่งความรู้สึกโหวงก็เข้ามาเกาะกุมจิตใจ อีกทั้งบรรยากาศในตอนเย็นใกล้ค่ำก็ช่างสร้างอารมณ์เหงาลึกให้เสียจริง
ปณิตาดึงคันชักกระเป๋าแล้วลากเดินมานั่งบนม้าหินอ่อนที่วางใต้หอพักซึ่งเปิดโล่งทั่วทั้งบริเวณ
“ลมแรงดีจัง สงสัยจะอยู่ไม่ไกลจากชายทะเล แบบนี้ต้องหาเวลาว่างไปสำรวจสถานที่ซะแล้ว”
คนนั่งรอพูดกับตัวเองเบาๆ พลางห่อไหล่ด้วยความหนาว เมื่อลมเย็นระลอกหนึ่งพัดวูบเข้ามา ร่างเล็กโน้มตัวกอดกระเป๋าเดินทางอย่างต้องการแบ่งปันไออุ่น และท่าทางนั้นก็ช่างเตะตาคนที่กำลังเดินบนถนนคอนกรีตที่สร้างเลียบอาคารให้หยุดชะงักลง แล้วหันมองอย่างจริงจัง ด้วยความโดดเด่นของหญิงสาวแม้จะอยู่ในเครื่องแต่งกายง่ายๆ เสื้อไหมพรมแขนสั้นเข้ารูปกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มนั้นช่างตัดกับผิวขาวผ่องเสียจริง สายตาสำรวจไล่มาถึงรองเท้าสานส้นสูงสองนิ้วที่ห่อหุ้มเรียวเท้าสวย ก่อนวกขึ้นไปมองดวงหน้าหวาน แล้วรำพึงเบาๆ
“พนักงานของบริษัทมีสวยแบบนี้ด้วยเหรอ ไม่น่าเชื่อแฮะ ว่างๆ ต้องไปทำความรู้จักสักหน่อย”
คนลอบมองถอนสายตาแล้วตัดใจเดินเข้ามานั่งในรถกระบะที่จอดแอบอยู่ข้างถนนแล้วขับออกไป พร้อมคิดในใจว่าถ้าคืนนี้ไม่มีนัดหมายเข้ามาเสียก่อน เขาคงไม่พลาดที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับสาวสวยคนนั้นอย่างแน่นอน
ทางด้านปณิตาซึ่งนั่งรอท่ามกลางลมหนาวที่โอบล้อมเข้ามาเกือบสิบนาที หญิงวัยกลางคนร่างท้วมก็เดินมาหา
“พนักงานใหม่ใช่ไหม” เสียงถามห้วน กระชากคนที่กำลังซบหน้ากับกระเป๋าเดินทางให้เงยขึ้นมา ดวงตาหวานหรี่มองด้วยความงุนงงเป็นครู่ ก่อนจะตอบ
“ใช่ค่ะ คุณลุงคนขับรถบอกให้นั่งรอแม่บ้านมาเปิดห้องให้”
“ฉันนี่แหละ ตามมา” น้ำเสียงไม่ต่างจากเดิมดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าของร่างท้วมจะหันกายนำลิ่วขึ้นบันไดโดยไม่สนใจสาวร่างเล็กที่ตามมาข้างหลัง และโชคชะตาก็ไม่โหดร้ายต่อปณิตานัก เมื่อต้องทั้งลากและดึงกระเป๋าเดินทางใบเขื่องขึ้นบันได จากชั้นหนึ่งสู่ชั้นสอง กระทั่งถึงชั้นถัดไป...
“ห้องเธออยู่ชั้นสามนี่แหละ หอพักมีทั้งหมดสี่ชั้น ข้างบนสุดจะเป็นของพวกพนักงานมีตำแหน่ง อย่างพวกผู้จัดการ แต่นานๆ ครั้งเขาถึงจะเข้ามาพักสักที แต่ห้องของเธอก็ดีแล้วนะ ห้องริมสุด ไม่ติดกับใคร เป็นส่วนตัวดี แถมได้อยู่คนเดียว ตำแหน่งงานคงไม่ขี้เหร่สิท่า เพราะปกติห้องชั้นนี้เขาจัดให้พนักงานอยู่รวมกันห้องละสองคน”
แม่บ้านร่างท้วมที่ไม่รู้ว่าพ่วงตำแหน่งผู้จัดการหอพักด้วยหรือไม่พูดจ๋อยๆ ขณะเดินนำปณิตามาหยุดตรงหน้าประตูห้องที่อยู่สุดทางเดินด้านซ้ายมือ เธอไขกุญแจแล้วผลักประตูให้เปิดกว้าง ก่อนจะเอื้อมมือกดสวิตช์ไฟจนสว่างทั่วทั้งห้อง
ปณิตาเยี่ยมหน้าพลางกวาดตามองข้างใน เห็นเฟอร์นิเจอร์มีเพียงโต๊ะทำงานวางชิดผนังด้านซ้าย ถัดไปเป็นตู้เสื้อผ้า และเตียงพร้อมที่นอนวางเด่นอยู่ตรงกลาง จากนั้นก็เป็นหน้าต่างบานสูงซึ่งติดตั้งตรงผนังด้านขวาที่ยามนี้ถูกปิดสนิทลง
“นี่แหละห้องของเธอ” สิ้นเสียงบอกย้ำ ปณิตาก็ยกกระเป๋าเข้าไปข้างใน หญิงร่างท้วมเบี่ยงกายเพียงนิดเดียว แล้วพูด “เออนี่...มีใครบอกเธอหรือยังว่าถ้าไปสำนักงาน จะมีรถออกตอนเจ็ดโมงครึ่งทุกวัน หากช้ากว่านั้นก็ต้องเดินไปเอง”
“สำนักงานอยู่ไกลจากนี่หรือจ๊ะ” ปณิตาถามพลางจัดแจงลากกระเป๋ามาอิงตรงปลายเตียง
“ไม่ไกลหรอก เดินไม่กี่นาทีก็ถึง แต่พวกสาวๆ ไม่ชอบเดินกัน นั่งรถคงสบายกว่า...เอาละ ถ้าเธอไม่มีอะไรแล้ว ฉันจะกลับบ้านสักที” แม่บ้านร่างท้วมพูดจบก็หันกายจ้ำออกไป ไม่ทันที่ปณิตาจะบอกขอบคุณและกล่าวลาได้ทัน
เมื่อถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง หญิงสาวจึงตามมาปิดประตูจนแน่นสนิท แล้วมองสำรวจทั่วห้องอีกครั้ง เห็นประตูบานหนึ่งซึ่งเปิดแง้มอยู่ข้างใน จึงไม่รอช้าที่จะเยี่ยมหน้าไปมอง
“อืม ห้องน้ำสะอาดดีแฮะ ค่อยยังชั่ว” ปณิตาบอกกับตัวเองด้วยความรู้สึกดีขึ้น แล้วกวาดสายตาขึ้นข้างบน ก่อนจะเปิดเรียวปากยิ้มอย่างดีใจ “ห้องพักมีเครื่องปรับอากาศกับห้องน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ก็อยู่ได้สบายแล้ว”
‘เพียงเท่านี้’ สำหรับปณิตา เธอไม่รู้หรอกว่าครบครันกว่าห้องอื่นมากแค่ไหน ร่างเล็กทรุดนั่งบนขอบเตียงแล้วลากกระเป๋าเดินทางมาตรงหน้า หยิบเสื้อผ้าที่อัดแน่นอยู่ข้างในออกมาแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าใบย่อม กระทั่งเสร็จสรรพจึงเหลียวมามองเตียงนอนเป็นเป้าหมายถัดไป
“ดีนะที่ไม่ลืมเอาผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนมาด้วย ไม่งั้นคืนนี้คงนอนไม่หลับแหงๆ ฟูกนอนมีใครใช้มากี่คนแล้วก็ไม่รู้ หมอนก็มีกลิ่นแปลกๆ กลับบ้านครั้งต่อไปต้องเอาหมอนเรามาใช้เอง” ปณิตาบ่นพลางจัดการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนบนที่นอนขนาดห้าฟุต ดึงขึงจนแน่น แล้วเอื้อมหยิบหมอนมาสวมปลอก ก่อนจะวางลงบนเตียง
หญิงสาวจัดการห้องพักจนเรียบร้อย กระทั่งรู้สึกเหนื่อยล้าแล้วนึกได้ว่ามื้อเย็นนี้ตนยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลยสักอย่าง
“ช่างมัน ยังไม่หิว ถือซะว่าลดน้ำหนัก พรุ่งนี้ค่อยตื่นเช้าหาอะไรกินก่อนเข้างาน” ปณิตาพูดพลางยักไหล่อย่างไม่สนใจ ก่อนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อคลุมอาบน้ำรวมถึงของใช้ส่วนตัวออกมาเพื่อจัดการกับตัวเอง
ในค่ำคืนนี้ ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แม้จะทุลักทุเลบ้างก็ตาม สิ่งที่เห็นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น นับจากย่างเท้ามาถึงที่นี่ หญิงสาวยังต้องเรียนรู้และต้องเจอกับอีกหลายอย่างที่รอเธออยู่ข้างหน้า