ตอนที่ 10 พนักงานใหม่
แม้จะรู้สึกแปลกต่อสถานที่ หากเมื่อหัวถึงหมอนปณิตาก็สามารถหลับสนิทด้วยความเหนื่อยอ่อน มารู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนรุ่งสางเลยทีเดียว
ร่างเล็กเหยียดกายบนเตียงนอน เปิดเปลือกตาช้าๆ รับภาพที่เห็นเพียงเงาเลือนราง กำลังยืดแขนเสลาหวังจะเปิดโคมไฟหัวเตียงให้ส่องสว่างลงมา หากก็นึกได้เสียก่อนว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านที่เธอคุ้นเคย
นิ่งอยู่ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ลุกขึ้นนั่งแล้ววาดเท้าลงมา จากนั้นจึงเริ่มต้นจัดการตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมรับงานใหม่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ปณิตาเข้ามาถึงสำนักงานเพื่อรายงานตัวกับฝ่ายบุคคลในเวลาเริ่มงานแปดโมงตรง ขณะนั่งรอก็ก้มสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกาย เสื้อสีขาวตัวบางที่ถูกสวมทับด้วยสูทสีเทาขรึมแบบเก๋กับกางเกงเนื้อผ้าสีเดียวกัน อีกทั้งรองเท้าคัตชูส์แบบสบายมีลวดลายหนังในตัวก็คงสุภาพพอสำหรับการทำงานในสำนักงานแห่งนี้ ต่อเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคน หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมอง
“ปณิตาเข้ามากรอกเอกสารข้อมูลส่วนตัวกับสิทธิต่างๆ ที่พนักงานจะได้รับเลยจ้ะ เสร็จแล้วจะพาไปหาหัวหน้างาน”
หญิงรุ่นพี่เดินมาบอกปณิตาให้ไปนั่งตรงโต๊ะที่มีเอกสารกระจายอยู่หลายชุด พนักงานใหม่เปิดรอยยิ้มเมื่อเห็นเอกสารทุกอย่างรวมถึงใบสมัครงานที่หล่อนต้องเขียนย้อนหลัง ดูก็รู้ว่าเป็นการทำเพื่อให้ครบตามขั้นตอนเท่านั้น...จึงทำให้อดคิดขำๆ ไม่ได้ว่าตนเข้ามาในที่แห่งนี้อาจด้วยเส้นสายของใครสักคนที่ลากดึงเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
เสร็จสรรพจากการรายงานตัวที่แผนกบุคคลบนชั้นสองของอาคารหลังเล็กทางด้านซ้ายสุด ปณิตาก็ต้องมานั่งรอต่อที่แผนกบัญชีซึ่งตั้งอยู่ในอาคารหลังใหญ่ที่อยู่ใกล้กัน ในตอนแรกเธอค่อนข้างประหลาดใจว่า คนที่มีพื้นความรู้ระดับปริญญาตรีด้านมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยมีประสบการณ์ด้านการขายและการตลาดจะสามารถทำหน้าที่ใดในแผนกนี้
‘หัวหน้าฝ่ายบัญชีเป็นคนเก่าแก่ของเจ้านาย นอกเหนือจากงานบัญชีแล้วเธอยังมีงานหลายอย่างในมือที่ต้องรับผิดชอบ ตำแหน่งที่รับเข้ามานี้จะเป็นการช่วยประสานงานให้คุณอุไรวรรณค่ะ’
คำตอบจากฝ่ายบุคคลเมื่อปณิตาแอบถามด้วยความสงสัยหลังจากเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์งานทางโทรศัพท์กับคุณอุไรวรรณไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและจริงจังที่ส่งมาตามสาย ทำให้คนที่เคยเชื่อมั่นตัวเองตลอดมาอย่างปณิตาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกริ่งเกรงหัวหน้าคนใหม่ทั้งที่ยังไม่เคยเจอตัวจริงเลยสักครั้ง
ปณิตานั่งรอบนเก้าอี้รับรองแขกแบบง่ายๆ มาได้สักพัก เบื้องหน้าของหญิงสาวเป็นภาพพนักงานหลายคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานของตัวเอง หากนานๆ ครั้งจะเห็นใครสักคนเงยหน้าขึ้นมามองอย่างอยากรู้ บ้างก็ส่งรอยยิ้มให้เมื่อเธอหันไปสบตา แต่ก็มีบางคนที่เมินหนีทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป
พลันประตูกระจกซึ่งอยู่ใกล้เก้าอี้ที่ปณิตานั่งอยู่ถูกเปิดเข้ามา แล้วหญิงร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อและกางเกงเข้ารูปสีอ่อนพร้อมผ้าพันคอสีน้ำตาลก็เดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ สายตาคมเฉี่ยวตวัดมองปณิตาแล้วเปล่งประกายความพอใจ ก่อนจะถามเชิงทักทาย
“ปณิตาใช่ไหม” เพียงเท่านี้เจ้าของชื่อก็เดาได้ทันทีว่า เจ้าของร่างโปร่งบางผู้นี้เป็นใคร หล่อนลุกขึ้นยืน ไม่ทันจะตอบรับก็ได้ยินประโยคต่อมาดังขึ้น “เอาแฟ้มเอกสารนี้ไปรอข้างล่าง ฉันบอกคุณสิงโตแล้วว่าจะให้เด็กในแผนกไปแทน รถจอดรออยู่แล้ว”
“คะ อะไรนะคะ” ท่าทางอ้ำอึ้งอึกอักของสาวร่างกลมกลึงดูจะขัดใจผู้ออกคำสั่งไม่น้อยเลย น้ำเสียงยามอธิบายของเธอจึงติดจะเข้มงวดกว่าเดิม
“เธอเริ่มงานวันนี้ใช่ไหม วันนี้ออกไปดูงานนิคมอุตสาหกรรมเฟสใหม่กับคุณสิงโต ไปเร็วเข้า อย่าให้เจ้านายรอ”
ด้วยเหตุที่ต้องรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าอยู่บ่อยครั้งจากที่ทำงานเดิม จึงไม่ยากที่หญิงสาวจะกระจ่างในคำสั่งและปฏิบัติตามได้ทันที
ปณิตารับคำพร้อมยื่นมือรับเอกสารจากฝ่ายนั้น ฉวยกระเป๋าสะพายแล้วก้าวลงบันไดลงสู่ชั้นล่าง และเมื่อออกไปถึงจึงเห็นรถยุโรปคันใหญ่ติดฟิล์มมืดสนิทจอดรอ พร้อมคนขับรถที่ยืนตั้งท่าอยู่ใกล้ พอเห็นหล่อน เขาก็ผลุบเข้าไปนั่งประจำด้านใน
คนร่างเล็กจดๆ จ้องๆ อยู่เพียงครู่เดียวจึงเปิดประตูด้านหน้าคู่คนขับเข้าไปนั่ง จากนั้นรถก็เคลื่อนออกไป จากหางตาเธอเห็นใครสักคนนั่งบนเบาะหลัง ซึ่งเดาไม่ยากว่าคงเป็น ‘คุณสิงโต’ ที่หัวหน้าแผนกพูดถึงนั่นเอง
ตลอดเวลาที่รถแล่นด้วยความเร็วบนถนนโล่ง หล่อนพยายามเหลือบมองคนตอนหลังอย่างอยากรู้อยากเห็น จากความสูงตามมาตรฐานหญิงไทยในยุคคุณแม่ ทำให้คนตัวสั้นพยายามชะเง้อชะแง้มองผ่านกระจกส่องหลัง แต่ก็เห็นเพียงศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมดำสนิทกับหน้าผากกว้างอย่างผู้ชาย และไล่ลงมาเป็นแว่นตากันแดดราคาแพง
ปณิตาย่นตัวลงแล้วเอนพิงพนักเก้าอี้ เมื่อตัดใจคิดว่าถ้ามองยากนักก็ไม่อยากจะชะเง้อมองให้เมื่อยคออีกแล้ว หากท่าทางของเธอก็อยู่ในสายตาของคนถูกลอบมองตลอดเวลา ริมฝีปากได้รูปที่หญิงสาวไม่มีโอกาสเห็นกำลังแย้มรอยยิ้มกว้างอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกเลยทีเดียว
รถแล่นบนถนนเกือบชั่วโมงก็เลี้ยวเข้ามาจอดในสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นสำนักงานสองชั้นขนาดไม่ใหญ่ ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ระแนงโดยมีแนวไม้พุ่มใบดกหนาปลูกขนานกันอีกชั้น
ปณิตานั่งนิ่งรอปฏิกิริยาของคนในรถ และเมื่อได้ยินเสียงตะกุกตะกักจากด้านหลังจึงหันไปมอง แล้วเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของคนร่างสูงใหญ่กำลังลุกออกไป โดยไม่รอช้าปณิตาจึงเปิดประตูก้าวตามไปหาทันที และนี่คงเป็นจังหวะดีที่สุดที่เธอจะได้เห็นหน้าเจ้านายคนใหม่โดยไม่ต้องลอบมองอีกต่อไปแล้ว
ร่างสูงใหญ่ในชุดกางเกงสแล็กสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มซึ่งยืนหันข้างกำลังเบือนมาทางหล่อนช้าๆ ชั่ววินาทีนั้นลมหายใจของปณิตาก็สะดุดลง ดวงตากลมออกแววหวานกะพริบพลางจ้องมองอย่างไม่คิดเกรงใจ และอึดใจต่อมาก็เบิกกว้างอย่างตกใจ เมื่อมือแข็งแรงยกขึ้นถอดแว่นตากันแดดเผยให้เห็นใบหน้าคมสันที่เธอยังจดจำได้อย่างแม่นยำ ด้วยทั้งเธอและเพื่อนร่วมงานเก่าต่างพร้อมใจบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าลูกค้าคนนี้ช่างหล่อเหลานักหนา แต่ยามนี้ภาพที่ปรากฏสู่สายตากำลังแปรเปลี่ยนไป ปณิตาเห็นรังสีเทาๆ เริ่มแผ่กระจายโอบรอบกายใหญ่ให้เขาดูคล้ายปีศาจร้ายก็ไม่ปาน
“คุณสีหราช!”
หล่อนเรียกชื่อเขาอย่างมั่นใจ และฝ่ายนั้นก็แค่ยักไหล่เหมือนไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดให้ต้องแปลกใจกันเลย
“คุณสีหราช ฉันจำคุณได้!”
“ขอบคุณที่จำเจ้านายของคุณได้ แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลาว่างพอจะเป็นเพื่อนคุยกับคุณ เราต้องรีบเข้าไปข้างใน ผมนัดหุ้นส่วนจากกรุงเทพฯ เข้ามาร่วมประชุมที่นี่ เราเป็นเจ้าภาพ ถ้ามาสาย มันจะน่าเกลียด”
น้ำเสียงเคร่งขรึมช่างขัดกับดวงตาคมที่ทอประกายระยิบอย่างเด่นชัด สีหราชไม่ปล่อยให้ลูกน้องสาวได้ทำท่าฮึดฮัดอีกต่อไป เขาก้าวนำไปข้างใน พร้อมความมั่นใจว่าแม่สาวหน้าหวานจะรีบจ้ำตามมาอย่างไม่รอช้าเลยทีเดียว