ตอนที่ 11 เหตุการณ์ไม่คาดคิด
ปณิตารู้สึกเหมือนมีบางอย่างแล่นเข้ามาจุกอก ขณะมองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่ย่างเท้าเข้าไปในสำนักงานอย่างสง่าภูมิฐาน ภาพด้านในยามมองผ่านผนังกระจกเข้าไป เธอเห็นใครหลายคนรุมล้อมต้อนรับเขา แต่คนร่างสูงโดดเด่นพยักหน้ารับเพียงนิดเดียว ก่อนจะหันกลับทั้งตัว เพื่อประสานสายตากับเธอด้วยดวงตาคู่คมที่กำลังฉายแววบังคับอยู่ในที ปณิตากัดริมฝีปากล่างจนเจ็บ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเดินไปผลักประตูตามเจ้านายคนใหม่เข้าไปในนั้น
“คุณปณิตาเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของผม” เสียงห้าวดังลอยเหนือศีรษะคนที่ได้รับตำแหน่งใหม่โดยไม่ทันตั้งตัว ปณิตาแย้มรอยยิ้มให้ผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ซึ่งเปิดยิ้มทักทายให้เธอทันที
“เราต้องเข้าห้องประชุมแล้ว หุ้นส่วนของผมมาถึงก่อนเวลา” สีหราชก้มบอกสาวร่างกลมกลึง ก่อนจะผละนำเข้าสู่ห้องประชุมที่สร้างแอบอยู่ด้านใน ปณิตารับรู้ถึงประกายตาคู่คมของเขาที่ส่งมาเมื่อครู่นี้...ทำตามทุกอย่างที่สั่ง มันชี้ชัดมาว่าอย่างนั้น
เลขาฯ มือใหม่เดินตามเจ้านายพร้อมกลุ่มคนอีก 3-4 คนเข้าไปในห้องประชุมซึ่งมีโต๊ะรูปตัวยูวางเด่นอยู่กลางห้อง ดวงตากลมลอบมองผู้ชายสามคนที่นั่งรอก่อนแล้ว ผู้ชายวัยใกล้สามสิบหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนขึ้นทักทายสีหราชอย่างคุ้นเคย ตามด้วยชายวัยกลางคนอีกสามคนซึ่งคงเป็นลูกน้องหรือผู้ติดตามของชายคนนั้นลุกตามมา
“คุณนัฐดนัยน่าจะโทร. บอกผมว่าจะมาถึงที่นี่ก่อนเวลา ผมจะได้พาไปดูที่ดินเฟสใหม่ที่ทางเราทยอยซื้อเพิ่มมาได้บางส่วนแล้ว”
สีหราชบอกชายอ่อนวัยกว่า ขณะทรุดกายนั่งบนเก้าอี้ตำแหน่งหัวโต๊ะ โดยคราวนี้หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวก็รู้หน้าที่ของเธอดี เธอบอกตัวเองว่ามีสปิริตมากพอที่จะแยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานได้ จึงทรุดกายนั่งตามเขาพร้อมวางแฟ้มสีดำที่รับมาจากหัวหน้างาน หากข้างในแฟ้มนั้นจะเป็นเอกสารอะไรเธอก็ยังไม่มีโอกาสดูเลย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เอาไว้ผมหาเวลาว่างสักวันแล้วจะมารบกวนคุณสีหราชให้พาดูจนทั่วพื้นที่สักครั้ง”
ชายคนเดิมตอบ จากนั้นก็เห็นทีมงานทางฝ่ายเจ้านายเธอหอบกระดาษแผ่นใหญ่ซ้อนกันจำนวนหลายแผ่นซึ่งแสดงผังบริเวณของแปลงที่ดินมากางไว้บนโต๊ะประชุม แล้วทั้งหมดก็เริ่มต้นการสนทนาเกี่ยวกับเจ้าสิ่งนั้น โดยมีหัวหน้ากลุ่มทำงานซึ่งเป็นชายร่างท้วมวัยประมาณสี่สิบปีเป็นผู้อธิบายพร้อมตอบข้อซักถาม จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เลขาฯ คนใหม่ก็ยังจับประเด็นไม่ได้สักอย่าง ทั้งที่ตลอดการประชุมเธอก็พยายามทำความเข้าใจ หากสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่คุ้นเอาเสียเลย ซ้ำร้ายหญิงสาวยังไม่มีเวลาสักนาทีเดียวเพื่อเตรียมตัวก่อนมารับงาน กระทั่งได้ยินเสียงเจ้านายใหญ่กล่าวสรุปหลังสิ้นสุดการประชุม
“พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเฟสใหม่ เราตั้งเป้าไว้ว่าจะรวบรวมซื้อที่ดินให้ได้ประมาณหนึ่งพันห้าร้อยไร่ ปัจจุบันเราจัดซื้อมาแล้วห้าร้อยกว่าไร่ ซึ่งในส่วนนี้ผมให้คนจัดทำผังและตัดแปลงที่ดินไปพร้อมกัน เพื่อให้ทันเสนอนักลงทุนญี่ปุ่นที่ติดต่อเข้ามาหาที่ตั้งโรงงาน ถ้ามีความคืบหน้าในส่วนนี้เพิ่ม ทางผมจะแจ้งให้คุณนัฐดนัยทราบ”
“ขอบคุณมากครับ สำหรับที่ดินส่วนที่เหลือซึ่งยังจัดซื้อไม่ได้ ถ้าติดขัดยังไงทางผมก็พร้อมจะให้ความร่วมมือนะครับ” นัฐดนัยบอกก่อนการประชุมจะถูกปิดลงอย่างเป็นทางการ
กลุ่มคนทั้งหมดเดินออกจากห้องประชุม กระทั่งมาถึงโถงด้านหน้าสีหราชก็ผละไปหาหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า ปณิตาถอยออกมายืนรอห่างๆ พลางกอดแฟ้มที่เหลือเอกสารติดอยู่เพียงไม่กี่แผ่น ด้วยส่วนใหญ่ถูกแจกจ่ายในระหว่างการประชุมไปแล้ว หล่อนจับสังเกตผู้ชายสองคนที่ยืนพูดคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มต่อกันเป็นเวลากว่านาที ก่อนจะเดินตีคู่ออกจากสำนักงาน แล้วแยกย้ายขึ้นรถส่วนตัว
ปณิตายืนรอคนร่างสูงใหญ่ที่ย่างเท้ามาหาหลังจากจัดการส่งหุ้นส่วนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว และหากตาเธอไม่ฝาดก็คงเห็นริมฝีปากได้รูปกระตุกเป็นรอยยิ้มยามเขาเหลือบมามอง กระทั่งคนร่างใหญ่เดินมาถึง เขาจึงได้พูดขึ้น
“ผมจะพาไปดูงานห้องเย็นแถวสะพานปลา มานั่งข้างหลังสิ ผมจะอธิบายให้ฟัง คราวนี้คุณจะได้เข้าใจก่อนเจองานจริง” เสียงห้าวบอกพร้อมกับรอยยิ้มขันจุดขึ้นในดวงตา เลขาฯ มือใหม่หน้าร้อนวูบวาบ เมื่อรับรู้ทันทีว่าตนกำลังถูกกล่าวกระทบถึงการทำงานเมื่อสักชั่วโมงที่ผ่านมา ปณิตาตัดความไม่พอใจส่วนตัวออกแล้วตามเข้าไปนั่งข้างเขา
จนเมื่อรถเคลื่อนบนถนนสายโล่งไปหลายนาที สีหราชก็พูดประโยคแรกออกมา
“ผมขอโทษเรื่องที่ทำให้คุณถูกออกจากงานที่เก่า”
“อย่าพูดเรื่องนี้เลยค่ะ มันผ่านไปแล้ว ถึงยังทำงานที่นั่นได้ ฉันก็ไม่มีความสุขกับมันอีก” ปณิตาพูดด้วยความจริงใจ หากก็เพียงครึ่งเดียว...
“ถ้างั้นคุณไม่โกรธผมใช่ไหม”
คำถามสรุปจากเจ้านายคนใหม่ ทำให้ปณิตาต้องลอบกลั้นหายใจ สกัดกั้นอารมณ์ที่จะไม่แว้ดแหวออกมา ด้วยสำนึกได้ว่าเวลานี้เขาเป็นใครและมีความสำคัญอย่างไรกับตน หญิงสาวไม่อยากเสียงานไปอีกครั้ง ด้วยตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะปิดหูปิดตาทำงานเก็บเงินเพื่อเปิดร้านให้มารดาสักระยะ และจากนั้นก็ค่อยว่ากันใหม่
ทางด้านสีหราชเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบ จึงชำเลืองมองดวงหน้าผุดผ่องยามต้องแสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาเพียงน้อยนิด หากทำให้สิ่งที่เห็นเจิดจ้าจนตาพร่าทีเดียว ชายหนุ่มขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถใหม่เพื่อสามารถมองคนนั่งข้างๆ ได้เต็มตา
“ที่พักของคุณเป็นยังไงบ้าง อยู่ได้หรือเปล่า” คำถามต่อมาของเจ้านายหนุ่มนั้นช่างห่างไกลจากงานที่บอกจะอธิบายให้เลขาฯ ส่วนตัวฟังเข้าไปทุกที
“ดีค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร เอ่อ...ไหนคุณว่าจะอธิบายเกี่ยวกับงานที่สะพานปลาให้ฉันเข้าใจยังไงล่ะคะ”
“อืม ผมคิดดูแล้วว่าจะให้คุณอุ๊สอนงานคุณดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าผมก้าวก่ายงานของลูกน้อง”
น้ำเสียงจริงจังช่างขัดกับลูกตาพราวระยับเสียจริง ปณิตาคิดว่าหากทำงานด้วยกันสักพัก หล่อนคงรู้จักตัวตนของเจ้านายได้ดีกว่านี้ เพื่อจะได้รู้ทันว่าเมื่อไหร่ที่เขาพูดจริงหรือแค่พูดเล่น อย่างน้อยจะได้ไม่ถูกความงุนงงสงสัยโจมตีอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
รถคันสีดำนำพาเลขาฯ สาวและเจ้านายหนุ่มมาถึงที่หมาย แต่พอก้าวเท้าออกจากรถ คนหน้าหวานก็ต้องหรี่ตาพลางยกสองมือขึ้นจรดหน้าผากเกลี้ยงเกลา หวังจะป้องแสงแดดแผดจ้าที่ส่องลงมาในเวลาใกล้เที่ยงวัน อีกทั้งลมทะเลซึ่งพัดผ่านชายฝั่งที่อยู่ไม่ไกลก็ยังพร้อมใจกันหอบไอร้อนโชยเข้ามา
“ร้อนหรือ” คนร่างสูงใหญ่ที่กำลังตั้งท่าจะจ้ำไปหาลูกน้องซึ่งยืนเกาะกลุ่มอยู่ใกล้กล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่สูงเลยศีรษะด้วยขนาดฐานกว้างยาวด้านละประมาณ 2-3 เมตรต้องชะงักเท้าลง
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพามาดูงานไม่ใช่หรือคะ” ลูกน้องคนขยันตอกย้ำความตั้งใจของนายหนุ่มเหมือนเกรงว่าฝ่ายนั้นจะลืมเสียก่อน
“ครับ งั้นตามมา”
ภาพแปลกตาที่สีหราชสร้างขึ้นโดยไม่สนใจสายตาลูกน้องที่กำลังเมียงมอง ชายหนุ่มเดินทอดน่องบนพื้นทรายเคียงสาวร่างเล็กที่กำลังเดินเขย่งด้วยความเร็วพอๆ กับเต่าคลาน
“คราวต่อไปถ้ามาที่นี่ผมจะบอกคุณให้เตรียมหมวกกันแดดสักใบ แล้วก็รองเท้าไม่มีส้นไว้ด้วย รู้หรือเปล่าว่าท่าทางเดินของคุณตอนนี้ตลกดีจริงๆ เหมือนนักบัลเลต์เต้นนอกเวที”
สีหราชวิจารณ์จบก็ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ คนขาสั้นแถมยังต้องเดินเขยกด้วยรองเท้าส้นสูงสองนิ้วเงยขึ้นมองพร้อมลมหายใจดังฟืดฟาดแล้วกระแทกเสียงตอบตามอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น
“เป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ ที่คิดจะบอกให้ฉันรู้ตัวล่วงหน้า”