บทย่อ
นอกจากเธอต้องมาเป็นพนักงานบัญชีที่แสนจะไม่ถนัดแล้ว ยังถูกเขากลั่นแกล้งให้หัวปั่นอีกสารพัด เขาช่างกวนโมโห ชีกอ เจ้ามารยา แถมยังทำเป็นหมาหยอกไก่ จนเธอต้องหาวิธีรับมือกันไม่เว้นวัน แต่กว่าปณิตาจะรู้ตัวก็ต้องตกใจซ้ำ...เมื่อพบว่าเธอได้หลวมตัวเดินเข้ากรงเล็บราชสีห์เสียแล้ว +++++++++++ เขาคือ สีหราช นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของบริษัทส่งออกอาหารทะเลแช่แข็ง ความสมบูรณ์แบบทั้งรูปลักษณ์และฐานะทำให้เขากลายเป็นผู้ชายในอุดมคติของสาวๆ ได้ไม่ยาก หากชายหนุ่มกลับมุ่งมั่นต่อการทำงาน จนได้ช่วยเหลือหญิงสาวตกงานคนหนึ่งไว้อย่างลับๆ หัวใจเจ้าป่าร้องบอกให้เก็บเธอมาไว้ใกล้ๆ หากการได้เธอมานั้นกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเธอแสนจะพยศและกล้าต่อล้อต่อเถียงอย่างไม่หวั่นเกรงเจ้านายใหญ่เช่นเขาเลย แต่เมื่อคิดจะสอยแม่กระต่ายขาวให้มาอยู่ในกรงเล็บราชสีห์อย่างถาวรแล้วละก็... ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟที่ไหน ชายหนุ่มก็ไม่หวั่นอยู่แล้ว ++++++++++ เพราะความหวังดีต่อเขาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือแท้ๆ ทำให้พนักงานเกือบจะดีเด่นอย่างปณิตาต้องตกอยู่ในสภาพคนว่างงานแบบไม่มีทางเลี่ยง คิดไปก็อดโมโหไม่ได้...ถ้ารู้ว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี อย่างนี้เธอก็จะร้ายซะให้เข็ด!
ตอนที่ 1 ราชสีห์หางยาวกับกระต่ายขาวตกงาน
ร่างประเปรียวของเลขานุการสาวใหญ่เดินด้วยท่าทีมาดมั่นมาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของหญิงสาวที่นั่งนิ่งงันเป็นหุ่นยนต์มาเกือบสิบนาที ผู้มาใหม่มองใบหน้าซีดขาวของคนอ่อนวัยกว่าแล้วลอบถอนหายใจด้วยอารมณ์หลากหลายที่ตีตื้นขึ้นมา ก่อนจะพูดขึ้น
“ปณิตา บอสให้ไปพบตอนนี้เลยจ้ะ”
คำสั่งจากเบื้องบนตามคำเรียกของพนักงานหลายคนที่เข้ามาอยู่รวมกันในตึกสำนักงานใหญ่บนถนนสายเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ได้รับการถ่ายทอดแก่บุคคลเป้าหมายด้วยน้ำเสียงชัดเจน
เจ้าของร่างเล็กติดจะอวบอิ่มมีน้ำมีนวลผิดสมัยนิยมค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตามเลขาฯ สาวออกไปท่ามกลางสายตาของพนักงานร่วมแผนกที่ลอบมองอยู่หลายสิบคู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และไม่ต้องเดาให้มากความว่า ทันทีที่ลับร่างสองสาวต่างไซซ์ก็คงบังเกิดเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ตามหลังมา
ไม่กี่นาทีจากนั้น หญิงสาวนามปณิตาก็ได้มานั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ในห้องโอ่โถงที่ตกแต่งด้วยโทนสีขรึม มือเรียวบางที่วางบนตักนุ่มถูกประสานแล้วบีบเข้าหากันจนแน่น ดั่งจะยึดไว้เป็นหลักเพื่อบรรเทาความรู้สึกเคว้งคว้างอย่างที่ประสบอยู่
“เป็นยังไงบ้าง” เสียงทุ้มทรงอำนาจจากคนที่นั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานดังขึ้น ส่งผลให้ร่างขาวผุดผ่องสะดุ้งน้อยๆ ก่อนเจ้าตัวจะส่ายศีรษะ แทนคำตอบทั้งหมดทั้งมวลที่มีให้กับคำถามนั้น
“ผมกับผู้ใหญ่อีกสองคนได้ปรึกษากันแล้ว ทางเราเข้าใจดีว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของคุณ” เสียงจากผู้บริหารที่ดูแลสายงานของหญิงสาวกล่าวเป็นจังหวะช้าๆ ทว่ามั่นคงนัก “แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว และสร้างความเสียหายให้กับบริษัท การที่เราจะปล่อยปละละเลยไป ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการทำงานของทุกคนที่นี่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่บริษัทตั้งไว้ ไม่เว้นแม้แต่ผู้บริหาร”
คนพูดไม่มีทีท่าว่าจะสรุปได้สักที และในเวลานี้คนที่มีหน้าที่ต้องฟังก็เริ่มหายใจติดขัดมากขึ้น ปณิตารู้ถึงความผิดตัวเองเป็นอย่างดี ความผิดที่เธอคิดเสมอว่าเกิดจากความหวังดีที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หากนั่นกลับเป็นสาเหตุให้บริษัทต้องเสียผลประโยชน์อย่างที่เธอเองก็คิดไม่ถึง
‘บอส’ ยังคงร่ายถึงหลักปฏิบัติยืดยาวซึ่งคงมีใครสักคนตั้งขึ้นมา แต่สิ่งที่ปณิตารอคอยคือบทสรุปสำหรับเธอต่างหากล่ะ และไม่กี่อึดใจต่อมา เวลานั้นก็มาถึง
“เพื่อไม่ให้เสียประวัติการทำงาน เราจะอนุญาตให้คุณเขียนใบลาออกเอง และสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่จะไม่มีผลต่อการสมัครงานที่ใหม่ของคุณ”
คนที่ถูกอนุญาตให้ลาออกจากงานสูดลมหายใจลึก...สิ่งที่เข้ามาปะทะโสตสัมผัสไม่ได้สร้างความตกใจให้เธอแม้แต่น้อย คงเพราะพอจะคาดเดาได้ตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในห้องนี้แล้วกระมัง การรอคอยต่างหากที่เคยทำให้เธอรู้สึกทรมานอย่างไม่รู้จักจบสิ้น และเมื่อวันนั้นมาถึง ซึ่งก็คือสิ่งที่เกิดอยู่ในตอนนี้ ปณิตาจึงสามารถรับฟังและยอมรับทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
“ขอบคุณค่ะ”
สิ้นเสียงหวานที่รำพึงตอบโดยอัตโนมัติ ก็ได้ยินคำอธิบายที่คนฟังไม่เคยร้องขอตามมาอีกครา
“ความจริงพนักงานจะลาออกต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือนเพื่อให้บริษัทมีเวลาหาคนมาทำงานแทนได้ทัน แต่สำหรับคุณ ทางเราจะยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ ผมจะให้เลขาพาไปเขียนใบลาออกในตอนนี้ แล้วจากนั้นคุณก็สามารถหยุดงานได้ทันที”
คำพูดจาก ‘บอส’ ยังลอยเข้ามาเรื่อยๆ ปณิตาอยากจะกรี๊ดให้สุดเสียง มันเรื่องอะไรกันนักหนา กรณีของเธอก็คือการถูกไล่ออกจากงานดีๆ นี่เอง แม้จะพูดให้สวยหรูว่า ‘อนุญาตให้เขียนใบลาออกเอง’ ก็ตามที คนพวกนี้เป็นหุ่นยนต์ ไม่มีชีวิตจิตใจกันหรือยังไงถึงพูดตอกย้ำเข้ามาได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย
ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อเคลื่อนมาถึงชั้นล่าง ร่างของหญิงสาวผิวขาวผุดผ่องในชุดสูทกางเกงสีขรึมก็ก้าวออกมา ใบหน้าสวยที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีตนั้นดูเรียบเฉย จนยามรักษาความปลอดภัยซึ่งนั่งประจำโต๊ะแลกบัตรขึ้นอาคารที่อ้าปากจะร้องทักต้องหุบฉับลง แต่กระนั้นก็ยังนึกสงสัยเมื่อเห็นสัมภาระเต็มสองมือที่เธอหอบติดมา อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับข้าวของส่วนตัวสารพัดอย่างที่บรรจุในกล่องใบใหญ่ ทำให้คนที่กำลังจดๆ จ้องๆ ต้องตัดสินใจถาม
“คุณปิงปองจะไปข้างนอกหรือครับ ให้ผมเรียกรถแท็กซี่หรือเปล่า”
‘คุณปิงปอง’ หยุดกึกแล้วหันกลับไปมองต้นเสียงที่เพิ่งเดินผ่านมา ก่อนพยักหน้าช้าๆ
“ดีเหมือนกัน งั้นฉันนั่งรอตรงนี้แหละ” เจ้าของสัมภาระตอบรับความหวังดี แล้วบอกจุดหมายปลายทางซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวนอกเมืองที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองกับน้องสาวให้อีกฝ่ายรู้
กระทั่งผู้หวังดีเดินลับหายออกจากประตูสู่ทิศทางถนนใหญ่ สาวร่างอวบอิ่มก็ถอยกลับไปนั่งรอบนเก้าอี้รับแขกที่อยู่ใกล้ๆ พร้อมสองมือยังคงกอดประคองกล่องใบใหญ่ พลางครุ่นคิด
‘พี่ไปส่งไม่ได้นะ พอดี เอ่อ...หัวหน้าเรียกพบ ปิงปองนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านเองได้ใช่ไหม แล้วคืนนี้พี่จะโทร. ไปหา’
เพื่อนร่วมงานหนุ่มที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นคนรักได้ไม่ถึงขวบปีบอกขณะลงมือช่วยเก็บของพร้อมกับสองสาวเพื่อนร่วมงาน ปณิตาคิดถึงคนที่พร่ำบอกว่าเข้าใจเธอเสมอยามโทร. หากัน แต่การกระทำเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นกลับกลายเป็นอีกอย่างด้วยใจที่แสนจะปวดร้าว
“คนไม่จริงใจ คนขี้ขลาด คงกลัวว่าตัวเองจะติดร่างแหไปด้วยละสิ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องมายุ่งกับเขาอีกเลย คอยดูนะ โทร. มาก็จะไม่รับสาย ไม่ต้องมาตีสองหน้าแสร้งทำเป็นเห็นใจกันอีก”
คนเพิ่งว่างงานหมาดๆ พูดพร้อมกัดฟันกรอด ดวงตาหวานที่เปล่งประกายวาวโรจน์ทำให้คนที่กำลังก้าวผ่านต้องชะงักเท้าลง แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยววินาที เมื่อมีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้า เขาก็เบนความสนใจพร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินต่อด้วยเห็นว่าจวนเจียนจะถึงเวลานัดทำ ‘ธุระ’ ของตนเต็มที