ตอนที่ 4 ราชสีห์หางยาวกับกระต่ายขาวตกงาน
คนสาธยายทำตาเคลิ้มฝันพลางนึกถึงเจ้าพ่อกึ่งนักเลงโตในความทรงจำจากหนังดังครั้งเยาว์วัย โดยไม่สนใจสายตาสองคู่ที่มองด้วยความรู้สึกต่างกัน คนหนึ่งมองแล้วช่างน่าหมั่นไส้นักหนา แต่อีกคนกลับมีแววกังขาเพิ่มขึ้นมาจนเต็มร้อย
“คนรู้จักของเธอหรือเปล่าปิงปิง” เพื่อนวัยเด็กตัวดียังคงเรียกเธอด้วยชื่อที่ได้มาพร้อมการปรากฏตัวของทูตสันถวไมตรีที่นำมาจากเมืองจีนด้วยท่าทางจริงจัง
‘จะว่าไปปิงปองของเราก็น่ารักเหมือนน้องหลินปิงนะครับป้า ใช่ไหมปี่ ดูดีๆ สิ ตัวขาวๆ ป้อมๆ แถมยังแก้มป่อง ตาโตอีกด้วย คุณป้าแน่ใจนะครับว่านั่นไม่ใช่น้องของปิงปองที่พลัดพรากจากกันเมื่อยี่สิบกว่าปี น้องหลินปิงของพี่ปิงปอง เอ๊ะ! ไม่ใช่สิ ต้องเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นปิงปิงดีกว่าจะได้รู้ว่ามาจากที่เดียวกัน’
ปราบดาตั้งข้อสังเกตด้วยสีหน้าขึงขังหลังดูข่าวสั้นจากจอทีวีในเย็นวันหนึ่งจบลง จนคนที่ถูกพาดพิงถึงได้แต่ฮึดฮัดขัดใจ ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากมารดาและน้องสาว เจ้าหล่อนก็กรีดเสียงปกป้องภาพพจน์ของตัวเองในทันที
‘หุบปากไปเลยนายป่าน ห้ามนำฉันไปเปรียบเทียบกับน้องหลินปิงของนายอีก ไม่งั้นนายโดนเฉาะหัวแน่’
‘ก็ได้ ไม่พูดอีกก็ได้ ยายปิงปิง...โอ๊ย!’
สิ้นวาจาน่าหมั่นไส้ ถาดใส่ขนมที่วางบนโต๊ะหน้าโซฟาก็ลอยปลิวปะทะศีรษะของคนช่างเย้าอย่างแม่นเหมาะ และต่อจากนั้นปณิตาก็นั่งยิ้มกริ่มไม่สนใจความวุ่นวายที่เกิดจากน้ำมือของตนแม้แต่นิดเดียว
หลังจากเหตุการณ์นั้น ถ้าจะคิดว่าเพื่อนชายที่โตมาด้วยกันจะหยุดพูดจากวนประสาทเจ้าของฉายาพี่สาวหลินปิง ก็คงจะเป็นการตั้งความหวังที่มากเกินไป...
“ฉันจะออกไปดูให้รู้ว่าเป็นใคร” ปณิตาบอกหลังจากตัดใจข่มอารมณ์จากเพื่อนชายได้สำเร็จ
“ไม่ต้องไปดูหรอก หมอนั่นขับรถออกไปหลังจากที่ฉันเคาะกระจกเรียกแล้ว แต่ก็แปลก หน้าตางัวเงียพิกล จะว่ามางีบหลับหน้าบ้านก็ดูตลก บ้านแกไม่ใช่สวนสาธารณะสักหน่อย แล้วหน้าตาแบบนั้น รถลักษณะนั้นก็ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเราแน่นอน”
“ดูดีเกินกว่าจะมาเป็นเพื่อนบ้านของพี่ป่านใช่ไหมล่ะ” ปีย์วรากระเซ้าเพื่อนพี่สาว อีกฝ่ายเหล่มองแล้วเมินหนีเหมือนจะบอกให้รู้ว่าเขาไม่ขำไปกับเธอด้วยหรอกนะ
“ถ้าดูท่าทางเขาไม่มีอะไรให้ติดใจก็ช่างเถอะ อาจเป็นใครที่เข้ามาติดต่อคนในหมู่บ้านเราก็ได้” ปณิตาตัดบทเสียงเนือย แต่เพื่อนหนุ่มกลับคัดค้านอย่างไม่ยอมให้จบเรื่อง
“คนเดี๋ยวนี้ดูหน้าไม่รู้ใจ ฉันจะโทร. ไปขอชื่อผู้ชายคนนั้นจากป้อมยามหน้าหมู่บ้านไว้ ยังไงก่อนเข้ามาก็ต้องมีการแลกบัตร จดชื่อ บันทึกเวลาเข้าออกกันอยู่แล้ว เผื่อมีปัญหาภายหลังจะได้ตามตัวได้ง่ายๆ ส่วนเลขทะเบียนรถ ฉันจดมาเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน”
“ตามใจนายแล้วกัน ยังไงก็ขอบใจนะ” ปณิตายกการตัดสินใจให้ปราบดาแล้วหันกายหมายจะตามมารดาเข้าไปในครัว แต่ต้องเบี่ยงตัวหนี เมื่อมือหนาของอีกฝ่ายยื่นมาแตะหน้าผากเกลี้ยงเกลา พร้อมตีสีหน้าสงสัย
“ตัวก็ไม่ร้อน จะว่าไม่สบายก็คงไม่ใช่” ปราบดารำพึง พร้อมนิ่วหน้าครุ่นคิด “วันนี้แกดูแปลกไป เป็นอะไรหรือเปล่า”
“อะไรของนายนักนะ ฉันสบายดี ว่าแต่นายทำเป็นสงสัยโน่นนี่ จะดึงเวลาจนถึงมื้อเย็นเลยใช่ไหม จะกินฟรีที่นี่ล่ะสิ”
“ไม่ใช่หรอก แกไม่งกมื้อเย็น อย่าทำเป็นกลบเกลื่อน” จอมสงสัยยังไม่ยอมหยุดคิด แล้วตั้งข้อสังเกต “แกไม่เขวี้ยงหัวฉันตอนฉันเรียกปิงปิง นั่นหนึ่งละ แล้วเรื่องผู้ชายคนนั้น ถ้าเป็นเวลาปกติแกคงนึกสงสัย ไม่บอกผ่านอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่ต้องปิดบัง บอกมาซะดีๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับแก ถึงทำท่าเป็นหมาป่วยแบบนี้”
“นายจุ้นเอ๊ย! นายต้องรู้ให้ได้ใช่ไหม ฉันเพิ่งโดนไล่ออกจากงานไง พอใจหรือยัง”
“อะไรนะ!” น้ำเสียงตกอกตกใจของเพื่อนหนุ่มช่างประสานกับเสียงใสของน้องสาวได้พร้อมเพรียงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
“เกิดอะไรขึ้น ใครทำแก มีคนแกล้งแกใช่ไหม บอกมา ฉันกับน้องปี่จะไปกรีดรถมันซะให้เข็ด!”
ในวันนี้ปณิตาหัวเราะออกมาได้เป็นครั้งแรก เมื่อเห็นท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นของเพื่อนหนุ่ม อีกทั้งสีหน้าเหวอๆ ของคนที่ถูกดึงเข้าไปในแผนการโดยไม่ทันตั้งตัวด้วยความขบขัน
“ไม่มีใครแกล้งฉันหรอก ฉันโดนไล่ออกเพราะทำตัวเองทั้งนั้นแหละ และขอร้องเลยนะ ช่วงนี้อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้กัน หากนายถูกจับในข้อหาทำลายทรัพย์สินของใครเข้า ฉันไม่มีปัญญาไปประกันตัวหรอก เพราะต้องสำรองเงินไว้กินไว้ใช้ตอนว่างงาน จะกี่เดือนกี่ปีก็ยังไม่รู้เลย” ตอนท้ายน้ำเสียงเศร้าสร้อยอย่างปิดไม่มิด
“เออๆ ไม่มีใครทำแกก็แล้วไป ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ ถือซะว่าได้พักร้อน สัก 1-2 เดือน โดยไม่ต้องรออนุมัติจากใคร สบายจะตาย หลังจากนั้นคนเก่งอย่างแกก็มีงานใหม่มาให้ทำอย่างแน่นอน เชื่อฉันสิ”
คนตกงานยิ้มอ่อนๆ รับคำปลอบใจ ทุกอย่างก็ไม่เลวร้ายเกินไป หล่อนยังมีครอบครัวที่รักและเข้าใจ อีกทั้งเพื่อนบ้านใกล้ที่คอยห่วงใยไม่เคยเปลี่ยน เพียงเท่านี้ก็ดีถมไปแล้ว
สีหราชย่างเท้าเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองชลบุรีในเวลาเลยสองทุ่มมากว่าครึ่งชั่วโมง ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือความเงียบสงัดที่ปกคลุมจนทั่ว ความมืดครึ้มที่มีเพียงแสงไฟสลัวส่องนำทาง ซึ่งแม่บ้านชราคงเปิดทิ้งไว้เพื่อรอการกลับของเขา
คนร่างสูงทำท่าจะเดินผ่านโถงกว้างเพื่อขึ้นบันไดที่ทอดเลื้อยเป็นทางโค้งสู่ชั้นสองซึ่งมีห้องนอนใหญ่อันเป็นสถานที่พักผ่อนส่วนตัวของเขา หากลำแสงจากดวงไฟที่ส่องกระทบภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบที่ถูกขึงตึงด้วยกรอบไม้เนื้อดีสะดุดสายตาเข้าเสียก่อน
ชายหนุ่มก้าวมาหยุดตรงหน้าเจ้าสิ่งนั้น ท่อนขากำยำกางออกน้อยๆ นัยน์ตาคมเพ่งพิศพิจารณาภาพเสมือนจริงของตัวเองซึ่งนั่งอยู่ในอิริยาบถผ่อนคลาย โดยมีเด็กชายตัวป้อมวัยอนุบาลอิงแอบใกล้
“รูปนี้มาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
นิ้วแข็งแรงบรรจงลากไล้แตะพวงแก้มยุ้ยที่ถูกจำลองได้ไม่ผิดเพี้ยนจากภาพในความทรงจำ
“เจ้าเท็น” คนที่กำลังเพ่งมองรำพึงพร้อมกระตุกริมฝีปากยิ้มอย่างเอ็นดูระคนรักใคร่เจ้าของร่างป้อมในภาพวาดนั้น เพ่งอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังเป้าหมายเดิม
ร่างสูงใหญ่ที่นอนทอดอยู่บนเตียงกว้างขยับพลิกกายตื่น เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูรัวเร็วพร้อมเสียงตะโกนเรียกดังลอดเข้ามา กระทั่งได้ยินเสียงกุกกักให้รู้ว่ามีคนพยายามล่วงล้ำในที่ส่วนตัว เจ้าของสถานที่จึงรีบลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมเนื้อดีมาสวม แล้วเดินไปกระกระชากประตูเปิดออก