ตอนที่ 3 ราชสีห์หางยาวกับกระต่ายขาวตกงาน
ทางด้านคนที่สีหราชบ่นถึงกำลังเผชิญกับสายตามารดาที่จ้องเขม็งอย่างอึดอัดใจ
“ทำไมกลับบ้านตั้งแต่หัววัน แล้วนั่นหอบอะไรมาด้วย” นางอรชรถามบุตรสาวคนโต พร้อมกับมองลอดแว่นสายตาอย่างต้องการคำตอบ
“ปิงปองตกงาน” ความตั้งใจที่จะเก็บเป็นความลับถูกพับเก็บไปเมื่อเจอคำถามคาดคั้น ก่อนจะขยายความต่อ “เจ้านายเชิญให้เขียนใบลาออก”
หญิงวัยกลางคนร่างท้วมนิ่งเป็นครู่ก่อนยักไหล่ เดินมานั่งบนโซฟา ทำให้อีกคนต้องทรุดกายนั่งตาม
“งั้นก็ช่างมันเหอะ ออกจากที่เดิมก็ค่อยหางานที่ใหม่ทำ งานมีตั้งเยอะแยะ ถ้าเราไม่เลือกมากก็ว่างงานไม่นานหรอก”
“แม่ไม่ว่าอะไรเหรอ แล้วไม่สงสัยหรือว่าทำไมจู่ๆ ปิงปองโดนไล่ออกจากงาน” เสียงอ่อยจากคนร่างกลมกลึงที่นั่งอิงแอบมารดาดังขึ้น ก่อนเจ้าหล่อนจะซบดวงหน้านวลบนลำแขนอวบอย่างต้องการกำลังใจ
“แม่จะไปว่าปิงปองทำไมกันล่ะลูก ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากโดนให้ออกจากงานหรอก แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ให้มันแล้วไปเถอะ”
มารดาพูดซึ้ง! จนคนเป็นลูกแทบน้ำตาตกด้วยความตื้นตันใจ หากพอได้ยินคำต่อมา หญิงสาวก็แทบพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ
“ว่างๆ ก็ช่วยแม่ทำเค้กกับคุกกี้ขายดีกว่า ช่วงนี้ออเดอร์จากลูกค้าเข้ามาเยอะ จนแม่ทำคนเดียวจะไม่ไหวอยู่แล้ว ถ้าปิงปองมาช่วยอีกแรง แม่จะได้สบายขึ้นยังไงล่ะ”
“โธ่! ที่แม่ไม่บ่นก็เพราะจะให้ปิงปองมาเป็นลูกมือทำขนมนี่เอง” ปณิตาว่าพลางหัวเราะอารมณ์ดีกับความเจ้าเล่ห์แบบน่าหยิกของมารดา หากความรื่นรมย์ก็กินเวลาเพียงไม่ถึงนาที รอยยิ้มก็จางหายเมื่อนึกถึงคนต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นคนว่างงานโดยไม่ทันได้เตรียมการณ์ใดๆ
เป็นเพราะนายคนเดียว นายสีหราช ฉันไม่น่าทำตัวเป็นผู้หวังดีเลย สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นคนตกงานแบบนี้ ไม่เห็นจะคุ้มตรงไหน
“ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลงมาข้างล่าง แม่จะหาอะไรให้กิน” น้ำเสียงอ่อนโยนปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากความเคืองแค้น หล่อนยื่นหน้าหอมแก้มมารดาอย่างประจบประแจงก่อนจะลุกผละออกไป ปล่อยผู้ให้กำเนิดมองตามด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความห่วงใย
ปณิตาง่วนกับการช่วยมารดาอบขนมในครัวจนถึงเวลาเย็นจึงได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน
“ยายปี่มาแล้วละ” หล่อนเปรยขณะที่ทั้งมือและสายตายังไม่ละจากงาน จนผ่านไปพักใหญ่ก็นึกเอะใจที่ไม่เห็นน้องสาวคนเดียวโผล่เข้ามาทักทายเหมือนทุกครั้งที่กลับมาถึง
“แม่จะออกไปดูข้างนอกหน่อย”
หญิงสูงวัยพูดเหมือนเข้าไปนั่งกลางใจบุตรสาวคนโต และไม่นานต่อมา ปณิตาก็รับรู้ว่าคนเดินไปดูก็หายจ้อยตามไปอีกราย จึงได้แต่ส่ายหน้ายิ้มขำ กระทั่งได้ยินเสียงห้าวเอะอะคุ้นหูปนกับเสียงใสของน้องสาวดังแว่วเข้ามา คนที่หมกตัวในครัวตลอดบ่ายจึงตัดสินใจเดินออกมาเยี่ยมหน้าดูด้วยตัวเอง
“เสียงดังเอะอะเชียว มีอะไรกันหรือ” คนหน้าหวานส่งเสียงเข้มงวดดังนำก่อนจะพาร่างเล็กปรากฏตามให้แขกในบ้านยลโฉม แล้วจึงถามต่อ “แล้วนั่นนายป่านเข้ามาในบ้านฉันทำไม”
“แหม จะทักทายดีๆ ให้ชื่นใจกันสักครั้งก็ไม่มีเลยนะ คุณนายปิงปิง”
นายป่านหรือปราบดาเพื่อนข้างบ้านคนสนิทที่รู้จักกันตั้งแต่รุ่นคุณแม่ยังสาวกล่าวท้วงปนคำหยอกเย้า
“เดี๋ยวเถอะ อยากโดนเฉาะหัวอีกหรือไงถึงได้เรียกปิงปิง แล้วนี่ยังไม่ได้ตอบเลยนะว่าเข้ามาในบ้านฉันทำไม”
ปณิตาเงื้อมือใส่เพื่อนหนุ่มเป็นเชิงขู่ แต่ดูว่าจะน่ากลัวน้อยไปเพราะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากน้องสาวสลับกับเพื่อนชายอย่างเห็นขัน ไม่เว้นแม้แต่มารดาที่ยิ้มพลางส่ายหน้าก่อนจะกลับเข้าไปในห้องครัวตามเดิม
“บังเอิญฉันขับรถเข้ามาถึงบ้านพร้อมน้องปี่ แล้วเห็นนายตี๋ใหญ่จอดรถซุ่มอยู่หน้าบ้านเธอ เลยเข้าไปตรวจสอบความปลอดภัยให้ แต่ดูสิ แทนที่จะขอบอกขอบใจกลับทำเสียงแว้ดๆ ใส่กัน แบบนี้เขาเรียกว่าทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ยุ่งดีกว่า” พลเมืองดีร่ายยาวลอยหน้าลอยตา หากก็หาความกระจ่างให้กับคนฟังไม่ได้เลยสักนิด ซ้ำร้ายตอนท้ายก็ก้ำกึ่งทวงบุญคุณอย่างไรพิกล
“เดี๋ยวก่อนนายป่าน อย่าเพิ่งทำเป็นงอน นอกจากมันจะทุเรศไม่เข้ากับหน้าแล้วยังทำให้ฉันงงหนักกว่าเดิม อธิบายมาหน่อยสิว่าตี๋ใหญ่ที่ไหนกันที่นายพูดถึง” ปณิตานิ่วหน้าคาใจ พร้อมมองเพื่อนชายที่แสร้งทำเมินอย่างนึกหมั่นไส้ แต่คำตอบที่หญิงสาวได้รับกลับมาจากอีกคนที่คงทนมองคนท่ามากไม่ได้เช่นกัน
“ใครไม่รู้มาจอดรถอยู่หน้าบ้านเราค่ะพี่ปิงปอง รถเบนซ์รุ่นใหม่ล่าสุดเชียวนะ พี่ป่านเห็นทีแรกแล้วน้ำลายจะไหล คนขับก็หน้าตาดี พี่ปิงปองอย่าบ้าจี้ตามพี่ป่านนะ คุณคนนั้นไม่เหมือนตี๋ใหญ่อะไรนั่นหรอก ปี่ว่าเขาเหมือน...เหมือนเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้มากกว่า ตัวโตๆ ขาวๆ แต่มาดเข้มเชียว”