บทที่ 4
เจ้าสัวสารัชกับดารินตะโกนเรียกเสียงดัง ต่างก็ตกใจกับเสียวร้องกรี๊ดของแม่เลี้ยงรุจิรา จากนั้นก็พากันวิ่งขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของแม่เลี้ยง ในใจนั้นคิดไปต่างๆ นานาว่ามีอันตรายเกิดขึ้นกับเศรษฐนีผู้มั่งคั่งจนทำให้อีกฝ่ายต้องหวีดร้องเสียงโหยหวน
“แม่เลี้ยง! เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรแม่เลี้ยงครับ”
เจ้าสัวสารัชตะโกนถามก่อนจะวิ่งมาถึงห้องนอนของแม่เลี้ยงรุจิราด้วยซ้ำไป และเมื่อเข้ามาในห้องนอน เห็นแม่เลี้ยงยืนนิ่งขึงไม่ไหวติง ก็เข้าไปจับต้นแขนพลางเอ่ยถามซ้ำด้วยความเป็นห่วง
“แม่เลี้ยง เป็นอะไรครับ”
“สร้อย...สร้อยเพชรของฉันหาย...หาย...ไป”
แม่เลี้ยงรุจิราเอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก ยังช็อกไม่หายเพราะสร้อยเพชรมูลค่าเกือบสิบล้าน ที่ตนสวมออกงานเลี้ยงเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ได้อันตรธานหายไปจากกระเป๋าใบเล็กของเธอ
“อะไรนะคะ สร้อยเพชรของแม่เลี้ยงหาย”
ดารินเบิกตาโตร้องเสียงหลง สีหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจราวกับตนเองเป็นเจ้าของสร้อยเพชรมูลค่ามหาศาลนี้ก็ไม่ปาน
“ใช่...ใช่...สร้อยเพชรของฉันหาย” แม่เลี้ยงรุจิราย้ำคำอีกครั้ง แทบไม่มีแรงยืนจนต้องทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ซึ่งอยู่ใกล้ตนที่สุด
“แม่เลี้ยงหาทั่วหรือยังครับ เผื่อว่าวางลืมไว้ที่ไหนสักแห่ง อาจจะในห้องน้ำ หรือบนโต๊ะเครื่องแป้งก็ได้ครับ” เจ้าสัวสารัชเอ่ยแนะนำ
“ฉันจำได้ขึ้นใจว่า ฉันเอาสร้อยเพชรเก็บไว้ในกระเป๋าก่อนจะลงไปทานข้าว แต่ตอนนี้สร้อยไม่ได้อยู่ในกระเป๋าของฉันแล้ว”
“แม่เลี้ยงดูตามซิปหรือช่องเก็บของเล็กๆ ในกระเป๋าแล้วใช่ไหมคะ” ดารินเอ่ยถามขณะทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ แม่เลี้ยงรุจิรา
และเศรษฐีนีผู้นี้ก็ตอบคำถามด้วยการเททุกอย่างออกจากกระเป๋าสะพายใบเล็ก “เห็นไหม ดาริน ว่ามันไม่มีสร้อย เพชร มีแค่เพียงกระเป๋าเงินและพวกเครื่องสำอางเท่านั้น”
“แล้วสร้อยเพชรหายไปได้ยังไง ในบ้านของเราไม่เคยมีขโมย ไม่เคยมีของหายเลย” เจ้าสัวสารัชพึมพำออกมา เริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนที่ทรัพย์สินมูลค่ามากได้หายในบ้านของตน
“ตอนนี้มันเป็นไปแล้วค่ะ เจ้าสัว ก็เห็นชัดแล้วนี่ค่ะว่าสร้อยเพชรราคาเกือบสิบล้านของฉันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ต้องมีใครสักคนภายในบ้านของเจ้าสัวที่เป็นคนขโมยไป”
แม่เลี้ยงรุจิราตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจสักเท่าไร และผู้เป็นเจ้าบ้านก็รับรู้ได้ จึงรีบเอ่ยบอกเพื่อให้แม่เลี้ยงรุจิราได้คลายความโกรธลงบ้าง
“เดี๋ยวผมจะเรียกคนรับใช้ทุกคนให้มารวมตัวกัน แล้วเราจะค้นห้องทุกห้องภายในบ้านของผม รวมทั้งห้องของคนใช้ด้วยครับ”
“แน่นอน ต้องทำแบบนั้น และอย่าลืมค้นห้องของเจ้าสัวด้วย ถ้าไม่เจอสร้อยเพชรของดิฉัน สาบานได้ว่าฉันจะพลิกบ้านของเจ้าสัวเพื่อค้นหาจนกว่าจะเจอ เพราะสร้อยเส้นนี้เป็นสร้อยเพชรที่สามีของดิฉันได้ซื้อให้เป็นของขวัญก่อนเขาจะสิ้นลมแค่ไม่กี่เดือน”
แน่นอนว่าแม่เลี้ยงรุจิราจะทำตามที่พูด จะค้นหาทุกตารางนิ้วภายในคฤหาสน์หลังนี้ จะค้นหาจนกว่าจะได้สร้อยเพชรสุดรักสุดหวงกลับคืนมา
“ได้ครับ แม่เลี้ยง เราจะหาสร้อยเพชรจนเจอ และใครก็ตามที่เป็นคนขโมยสร้อยเพชรไป ผมจะลงโทษมันอย่างหนัก เอาให้ติดคุกหัวโตกันไปข้าง”
เจ้าสัวสารัชคาดโทษเสียงลอดไรฟัน พลางเดินออกจากห้องนอนของแม่เลี้ยงรุจิรา ให้ภรรยาเป็นผู้ประคองแม่เลี้ยงเดินลงมายังห้องโถงอีกครั้ง
เมื่อเห็นพรวลัยซึ่งเป็นคนรับใช้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด เพราะเพิ่งเดินออกมาจากห้องอาหาร เจ้าสัวสารัชก็ออกคำสั่งเสียงเครียดว่า
“พรวลัย ไปตามคนรับใช้ทุกคนให้หาฉันเดี๋ยวนี้”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ เจ้าสัว”
พรวลัยเอ่ยถามออกไปเพราะยังงุนงงกับคำสั่งของเจ้าสัว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อถูกผู้เป็นเจ้านายตวาดเสียงดังลั่น
“ฉันบอกให้ไปตามก็ทำตามที่สั่งสิ จะมาถามเซ้าซี้ทำไม ไปตามทุกคนมาเดี๋ยวนี้!”
“ค่ะๆ เจ้าสัว”
คราวนี้พรวลัยรับคำรัวเร็ว ไม่รู้ว่ามีเหตุอันใดเจ้าสัวสารัชถึงให้ตามคนรับใช้เป็นการเร่งด่วน แต่กระนั้นก็พอเดาได้ว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เพราะสีหน้าของแต่ละคนไม่สู้ดีนัก ติดเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
ฮาคิมมีสภาพไม่ต่างจากมารดาและคนรับใช้คนอื่นๆ ที่นอนดึกและต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมาทำงานตามหน้าที่ของตน สีหน้าของเด็กหนุ่มแลดูไม่สดชื่นนัก อีกทั้งร่างกายก็ค่อยข้างผายผอม เพราะได้รับสารอาหารที่ไม่สมบูรณ์มากสักเท่าไร
เด็กหนุ่มได้กินอาหารตามสภาพฐานะของคนรับใช้ ซึ่งบางครั้งก็กินอาหารที่เหลือจากที่บรรดาเจ้านายได้กินเสร็จแล้ว อาจจะอิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง แต่ฮาคิมและมารดาก็ไม่มีทางเลือก เพราะพวกเขาไม่มีที่อื่นให้อาศัยอยู่อีกแล้ว
มารดาของเด็กหนุ่มอายุมากแล้ว แถมยังเจ็บป่วยบ่อยครั้งด้วย ส่วนตัวของฮาคิมนั้นเรียนจบแค่ชั้นมัธยมต้น หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ เพราะมารดาไม่มีเงินส่งเสีย หากเขาและมารดาไม่ทนอาศัยอยู่เป็นลูกจ้างคอยรองรับอารมณ์ของเจ้าสัวสารัชและดารินผู้เป็นภรรยา พวกเขาก็ไม่มีที่ซุกหัวนอน เพราะค่าเช่าบ้าน ค่าครองชีพในกรุงเทพฯ นั้นแสนแพงยิ่งนัก
ถึงแม้จะได้หลับนอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง ในเช้าวันนี้ฮาคิมก็ตื่นขึ้นมาล้างรถ เช็ดรถให้เจ้าสัวตามหน้าที่ประจำของตนเอง และขณะเช็ดทำความสะอาดรถอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของมารดาเอ่ยเรียกอย่างร้อนรน
“ฮาคิม หยุดทำงานก่อน เจ้าสัวเรียกให้ไปพบเดี๋ยวนี้เลย”
พรวลัยเอ่ยบอกลูกชายโดยไม่หยุดเดิน ทำท่าจะก้าวเดินต่อไปยังด้านหลังบ้าน เพื่อเรียกคนรับใช้คนอื่นๆ แต่ก็ถูกลูกชายเอ่ยถามซะก่อน
“เจ้าสัวเรียกให้ไปพบทำไมหรือครับ แม่”
พรวลัยส่ายหน้าปฏิเสธกับคำถามของลูกชาย “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เจ้าสัวให้เรียกคนรับใช้ทุกคนไปพบเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวแม่จะไปเรียกคนอื่นๆ ก่อน ฮาคิมรีบไปนะลูก ถ้าไปช้าเจ้าสัวจะโกรธเอาได้”
“ครับ แม่ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”
ฮาคิมพยักหน้ารับคำ พลางวางอุปกรณ์ทำความสะอาดรถ ก่อนจะหันมาเอ่ยบอกคุณหนูนารากร ซึ่งนั่งเล่นอยู่ใกล้ๆ กัน
“คุณหนูครับ นี่ก็สายมากแล้ว คุณหนูไปทานข้าวเช้าเถอะครับ เดี๋ยวผมจะไปพบเจ้าสัวก่อน ถ้าขืนไปช้าจะถูกทำโทษเอาได้”
“ก็ได้ นาราจะไปกินข้าว เสร็จแล้วนาราจะมาเล่นกับฮาคิมอีกนะ”
หนูน้อยนารากรตื่นตั้งแต่ไก่โห่ เพื่อมาเล่นกับฮาคิม เพราะในบ้านนอกจากป้าแก้วคนที่เป็นพี่เลี้ยงกับลุงผวนแล้ว ก็มีฮาคิมเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่คอยตามใจและเข้าใจหนูน้อยทุกอย่าง ทำให้นารากรติดฮาคิมราวกับเงา ไม่ว่าฮาคิมจะไปทำงานอยู่ตรงไหน นารากรก็ตามไปเล่น ไปนั่งคุยอยู่ใกล้ๆ กับเด็กหนุ่มเสมอ
“ได้ครับ วันนี้ผมคงต้องล้างรถให้เจ้าสัวเกือบทั้งวัน เพราะมีอีกสองคันที่ยังไม่ได้ล้าง เดี๋ยวคุณหนูค่อยกลับมานั่งเล่นแถวๆ นี้ก็ได้ครับ” ฮาคิมคลี่ยิ้มบางๆ ขณะพยักหน้ารับ รู้สึกสงสารคุณหนูนารากร ที่ไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกันเป็นเพื่อนเล่น