๑.๖ บุษบาริมทาง
“หลับซะนะ พรุ่งนี้จะได้สดชื่นพร้อมกับการทำงานวันแรก”
“ค่ะครู”
เมื่อได้ไออุ่นจากครูแก้วกานดา ความคิดฟุ้งซ่านของวิโรษณาก็หยุดชะงักลง ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ปรือปรอยก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
เวลาตีห้าตรงของเช้าตรู่วันต่อมา นาฬิกาบนหัวเตียงที่ถูกตั้งเวลาปลุกเอาไว้ก็แผดเสียงดังขึ้น วิโรษณาตื่นมาปิดเสียงและรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำเพราะไม่อยากไปทำงานในวันแรกสาย โดยเลือกชุดที่อยุทธ์ซื้อมาให้เมื่อวานออกมาชุดหนึ่งมาใส่
ร่างอ้อนแอ้นหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกเพื่อสำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง ก่อนจะหยิบเอากระเป๋าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างๆ โต๊ะเครื่องแป้งมาสะพายเอาไว้เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ครูแก้วกานดาตื่นมาพอดี
“ครูตื่นแล้วเหรอคะ”
“เพิ่งตื่นนี่แหละจ้ะ ปุ้มใส่ชุดนี้แล้วดูสวยสง่ามากเลยลูก” สายตาของผู้เป็นครูมองลูกศิษย์ที่ตนรักเหมือนลูกด้วยความชื่นชม ชุดที่วิโรษณาใส่อยู่นี้ช่างเหมาะสมกับรูปร่างที่อรชรอ้อนแอ้นของเธอเสียเหลือเกิน
“ปุ้มว่าปุ้มใส่ชุดนี้แล้วเหมือนลูกเป็ดขี้เหร่ที่เอาปีกหงส์มาประดับยังไงก็ไม่รู้ค่ะ ชุดมันดูสวยเกินไปสำหรับปุ้มค่ะครู”
“ลูกเป็ดขี้เหร่ที่ไหนจะสวยขนาดนี้จ๊ะ กลัวแต่หนุ่มๆ ที่ทำงานจะมองเหลียวหลังล่ะสิไม่ว่า” แก้วกานดาสัพยอกอย่างภูมิใจที่เห็นเด็กน้อยซึ่งตนเลี้ยงดูอุ้มชูมาแต่เล็ก โตเป็นผู้ใหญ่ที่หน้าตาสะสวยและกิริยามารยาทเรียบร้อยแบบนี้
“ใครจะตาถั่วมามองปุ้มคะ”
“คนที่มองปุ้มของครูต้องเป็นคนที่ตาถึงต่างหากล่ะจ๊ะ ว่าแต่จะออกไปตอนนี้เลยเหรอ”
“ค่ะครู อวยพรปุ้มหน่อยสิคะ”
“ครูขอให้ปุ้มเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ที่รออยู่ข้างหน้าได้อย่างราบรื่นนะจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะครู” สาวน้อยพนมมือไหว้ผู้ที่ตนรักเสมือนแม่ “ปุ้มจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดค่ะ รับรองว่าจะไม่ให้ครูเสียชื่อ”
“ครูเชื่อว่าปุ้มทำได้จ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้นปุ้มไปก่อนนะคะ ตอนเย็นจะมาเล่าให้ฟังว่างานที่ปุ้มทำเป็นอย่างไรบ้าง”
“โชคดีลูก”
หลังจากได้พรอันประเสริฐจากครูแก้วกานดาผู้เปรียบเสมือนมารดาแล้ว วิโรษณาก็เดินออกไปรอรถเมล์ที่ป้ายซึ่งอยู่บริเวณหน้าสถานสงเคราะห์ เช้าวันทำงานแบบนี้รถเมล์อัดแน่นกันมาตั้งแต่ต้นทางราวกับปลากระป๋องก็ไม่ปาน แต่สาวน้อยก็จำต้องก้าวขึ้นไปยืนเบียดกับคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ไม่ชอบบรรยากาศที่ต้องแก่งแย่งกันแบบนี้เลย แต่ก็เลี่ยงไม่ได้และจะต้องปรับตัวให้ชินเพราะนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเธอจะต้องใช้บริการรถเมล์ทางสายนี้เป็นประจำ
วิโรษณามาถึงตึกทีเอ็นทาวเวอร์ด้วยสภาพเหงื่อโซมกายเพราะคนแน่นขนัดมาตลอดทาง เมื่อลงมายืนข้างล่างเธอก็พลิกข้อมือขึ้นดูเวลาจากนาฬิกาเรือนละไม่ถึงสองร้อยแล้วค่อยโล่งอกนิดหน่อยเพราะตอนนี้เพิ่งจะเจ็ดนาฬิกาสิบนาทีเท่านั้น
ร่างอรชรก้าวเข้าไปในตึกอย่างไม่รีบร้อนนักเพราะยังเช้าอยู่มาก แต่ถึงจะเช้าก็ยังมีพนักงานบางส่วนเริ่มมาทำงานบ้างแล้ว หลายคนหันมามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจและใคร่รู้ คงเป็นเพราะวิโรษณายังเป็นคนใหม่ของตึกแห่งนี้ สาวน้อยบอกตัวเองอย่างนั้นในขณะที่ก้าวเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดออกพอดี
บริเวณชั้นสามสิบห้ายังเงียบเชียบ ไฟในห้องทุกห้องยังคงปิดมืด ก็คงเหมือนอย่างที่วิโรษณาเห็นวันก่อนว่าชั้นนี้เป็นห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูงและห้องประชุมจึงมีคนทำงานอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
แล้วร่างบางก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเรือนร่างอันสูงเด่นน่ามองในชุดสูทเรียบหรูก้าวมายืนขวางหน้าเธอไว้ หัวใจดวงน้อยเต้นแรงระรัวเพราะไม่คิดว่าเขาจะมาทำงานเช้าขนาดนี้ ความร้อนผ่าวลามเลียขึ้นบนริมฝีปากอมชมพูไปจนถึงพวงแก้มนวลทั้งสองข้างเมื่อนึกถึงสัมผัสอันแสนหยาบคายของเขาเมื่อวานนี้
ดวงตายาวรีสีนิลมณีของเขากวาดมองเรือนร่างอรชรตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างสำรวจ วันนี้สาวน้อยตรงหน้าดูดีกว่าที่เห็นเมื่อวาน คงเพราะได้สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงที่พ่อของเขาอุตส่าห์หอบหิ้วไปประเคนให้ถึงสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า แต่สิ่งที่ทำให้ภาคิมค่อนข้างหงุดหงิดก็คือการที่ได้เห็นความสวยสดใสชวนมองคล้ายหยดน้ำค้างบริสุทธิ์บนใบหน้ารูปไข่ของเธอ แบบนี้นี่เองพ่อของเขาจึงได้ทำท่าหลงเด็กคนนี้ถึงขนาดให้วิโรษณามาทำงานที่นี่ ทั้งๆ ที่เธอยังไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานมาก่อนด้วยซ้ำ
“มาแต่เช้าดีนี่ กะจะให้ได้รับรางวัลพนักงานดีเด่นตั้งแต่ทำงานวันแรกเลยงั้นสิ” เสียงทุ้มทรงอำนาจเอ่ยขึ้นก่อน หากน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความยียวนไม่ใช่คนที่ทักทายกันตามปกติแต่อย่างใด วิโรษณารู้ในทันทีว่าเขาจงใจมาหาเรื่องจึงไม่ต่อปากต่อคำกับเขาและเตรียมจะเดินเลี่ยงหนี แต่มือใหญ่ยื่นมาจับต้นแขนบอบบางเอาไว้เสียก่อน
“ปล่อยฉันนะคะคุณภาคิม!” สาวน้อยพยายามขืนตัวเอาไว้
“เธอไม่เคยได้รับการอบรมเรื่องมารยาทหรือไง ผู้ใหญ่พูดด้วยทำไมถึงเดินหนีแบบนี้”
เขาพูดถูกที่ว่าเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอเพราะอายุมากกว่าร่วมสิบปี ตอนนี้ภาคิมอายุสามสิบแล้ว หากแต่พฤติกรรมของเขาที่กำลังทำเหมือนระรานเธอเหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็กต่างหากล่ะที่ทำให้วิโรษณาไม่อยากจะพูดด้วย
“แล้วคุณล่ะเป็นผู้ใหญ่ประเภทไหนถึงได้ชอบหาเรื่องเด็กนักคะ” วิโรษณาย้อนถามด้วยใบหน้าที่เชิดขึ้น
ภาคิมหรี่ตาลงแคบๆ สะอึกเหมือนกันที่โดนยอกย้อนอย่างเผ็ดร้อนเช่นนี้ แต่คนอย่างเขาไม่มีทางยอมให้เด็กอย่างวิโรษณามาต่อปากต่อคำด้วยเป็นอันขาด
“ก็เพราะเด็กอย่างเธอมันเต็มไปด้วยจริตมารยาน่ะสิ ฉันถึงต้องตามจับตาดูเธอเป็นพิเศษ ท่าทางไว้ใจได้ที่ไหน”
“ถ้าคุณไม่พอใจที่ดิฉันมาทำงานที่นี่ก็ไปพูดกับคุณลุงอยุทธ์สิคะ ถ้าคุณลุงบอกไม่ให้ดิฉันมาดิฉันก็จะไม่มา”
“ที่เธอกล้าท้าทายฉันแบบนี้ก็เพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนโปรดของคุณพ่อใช่ไหม”
หญิงสาวตวัดสายตามองอย่างไม่ชอบใจทันที “คุณกำลังหาเรื่องดิฉันอยู่นะคะคุณภาคิม”
“อย่ามาตีฝีปากกับฉันเพราะฉันไม่ได้ใจดีหรือหลงเด็กอย่างพ่อของฉันหรอกนะ” ภาคิมเค้นเสียงลอดไรฟัน มือใหญ่บีบต้นแขนเล็กแรงขึ้นตามอารมณ์ ดวงตาคมกริบของเขาร้อนแรงดั่งเปลวเพลิงที่กำลังมอดไหม้อยู่บนเตาถ่าน
“ปล่อยฉันค่ะคุณภาคิม!” เสียงหวานร้องอุทธรณ์ด้วยความเจ็บและหวาดหวั่นระคนกัน
“ไม่ปล่อย... เธอจะทำไม?”
ไม่พูดเปล่าแต่ใบหน้าหล่อคมคายที่หาตัวจับได้ยากนั้นยังก้มลงมาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่รวยรดลงมาบนริมฝีปากของเธอ วิโรษณาตกใจกลัวจนตัวสั่นกลัวว่าภาคิมจะทำอะไรบ้าๆ เหมือนอย่างที่เขาทำเมื่อวาน