บทที่ 4 เสือร้าย 1.3
“ท่านประธานคงไม่อยากให้ปรางค์ทำที่นี่หรอกค่ะ ปรางค์ปรางค์นินทาท่านมากขนาดนั้น”
วิตโตริโอไม่พูดแต่กลับลุกขึ้นยืน ก้าวเดินตรงมาหาร่างบางที่เริ่มสั่น เมื่อเขาก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เธอจึงถอยร่นหนีอัตโนมัติ
“ถือว่าเราหายกัน เธอว่าฉันส่วนฉันจูบเธอ”
ตอนท้ายของประโยค เขาหลุบตามองริมฝีปากสีชมพูใส กลีบปากที่เขาหาความหวานเมื่อหนึ่งชั่วโมง ที่อยากจะจูบซ้ำๆ ให้หนำใจใบหน้าของเธอเพิ่มความแดงเป็นหลายเท่าตัว เมื่อเขาพูดประโยคท้ายขึ้นมา หลุบสายตาต่ำมองที่พื้นพรมอย่างเดียว
“ว่าไงได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่า” เขาถามซ้ำ เพราะเธอยังก้มหน้านิ่งไม่ยอมตอบ
“ค่ะ เข้าใจค่ะ” ปรางค์รวีตอบเสียงไม่มั่นคง มือใหญ่ยกขึ้นสูงจุดหมายของมือนั้นคือแก้มนวลสีแดงใสของปรางค์รวี ผู้หญิงคนนี้ทั้งความสวยและความน่ารัก เหมาะเหลือเกินที่จะมาเป็นดอกไม้ช่องามช่อใหม่ของเขาประดับเธอไว้อยู่ในแจกันของเขาอีกคน เมื่อเขาเหงาจะได้หยิบดอกไม้ช่อนี้มาสูดดมให้ชื่นใจ เหมือนกับดอกไม้ดอกอื่นที่มีอยู่นับสิบดอก รอให้เขาไว้เลือกสรรตามต้องการ อีกนิดเดียวมือใหญ่จะทาบวางที่แก้มนวล หากแต่เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานดังขึ้นเสียก่อน เขาละมืออกอย่างเสียดาย พูดอนุญาตให้คนที่เคาะประตูด้านหน้าเข้ามาก็เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม ปรางค์รวีระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่รอดพ้นจากน้ำมือของเขาได้
“ท่านประธานค่ะ อีกสิบห้านาทีคุณแบคโคริล จะเดินทางมาถึงที่นี่ค่ะ” โสภา หญิงสาวทำหน้าที่เลขานุการรายงานหมายกำหนดการในวันนี้ให้เจ้านายทราบ เธอปรายตามองหญิงสาวนักศึกษาที่ยืนก้มหน้านิ่ง ใบหน้าแดงซ่าน ตัวค่อนข้างสั่น เธอรู้จักนิสัยของเจ้านายหนุ่มดีว่าเจ้าชู้มากแค่ไหน ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า และนักศึกษาสาวคนนี้คงต้องเป็นดอกไม้ของเจ้านายดอกใหม่แน่ คิดแล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้
“โสภา ต่อไปนี้ปรางค์รวีจะมาฝึกงานเป็นผู้ช่วยเธอนะ” เขาพูดโดยไม่มองหน้า
“ค่ะท่านประธาน” โสภาตอบรับคำสั่ง โดยไม่มีคำถามต่อว่า เหตุใดอยู่ๆ ถึงได้มีตำแหน่งผู้ช่วยเลขาขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีด้วยซ้ำ แต่เมื่อเป็นคำสั่งเธอก็ต้องทำตาม “ไปกับพี่ พี่จะได้สอนงานให้”
โสภาหันมาพูดกับปรางค์รวีเสียงนุ่มปรางค์รวีเงยหน้ามองผู้พูด ก่อนจะยิ้มตอบรับและรีบตามโสภาออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
โสภาสอนงานในส่วนที่ปรางค์รวีสามารถทำได้ เธอมีหน้าที่พิมพ์จดหมายและพิมพ์เอกสารตามแต่ที่โสภาสั่ง ความอ่อนหวานและน่ารัก ไม่เกี่ยงงอน ทำให้โสภารู้สึกเอ็นดูเป็นอย่างมาก
“ตอนเที่ยงไปทานข้าวกับพี่นะ พี่จะพาไปทานอาหารที่พี่ทานประจำ อร่อยราคาไม่แพงด้วย” โสภาเอ่ยชวนเมื่อเวลารับประทานอาหารเที่ยงใกล้เข้ามาทุกที
“ปรางค์มีเพื่อนอีกคนที่เค้าฝึกงานที่นี่ พาเพื่อนของปรางค์ไปด้วยได้หรือเปล่าคะ”
“ได้สิจ้ะ ทำไมจะไม่ได้ ว่าแต่เพื่อนของปรางค์ฝึกงานที่บริษัทไหนล่ะ”
“บริษัทประกันชีวิตค่ะ” โสภาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะยิ้มให้และลงมือทำงานต่อไป
ก่อนเวลาอาหารรับประทานอาหารกลางวันห้านาที เสียงโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะของโสภาดังขึ้น
“ค่ะท่านประธาน” เธอกรอกสายผ่านเครื่องโทรศัพท์ การสนทนาเกิดขึ้นไม่นานนักก็ยุติลง หลังจากที่โสภาวางโทรศัทพ์ลงที่แป้นเธอก็หันมามองปรางค์รวีที่นั่งทำงานอยู่อย่างขะมักเขม้น ความสงสารสงสารและเห็นใจปรางค์รวีท่วมท้นจิตใจ ภาวนาให้ผู้หญิงบอบบางคนนี้รอดพ้นจากเจ้านายหนุ่ม ที่เปรียบเสมือนเสือคอยตะปบเหยื่อสาวๆ สวยๆ ตลอดเวลา ถ้าเธอไม่แต่งงานมีสามีและมีลูก เธอคงหนีไม่พ้นเป็นดอกไม้ประดับแจกันของเขาแน่นอน และอีกข้อถือว่าเป็นความดีที่เจ้านายหนุ่มมี คือจะไม่ยุ่งกับพนักงานสาวในบริษัท แม้ว่าหลายคนจะทอดสะพานรอไว้ให้เขาเดินข้ามาก็ตาม แต่งานนี้เห็นทีวิตโตริโอจะแหกกฎเหล็กเสียแล้ว
“ปรางค์ท่านประธานให้เข้าไปพบ” ปรางค์รวีเงยหน้ามองผู้พูด หัวใจของเธอเต้นเร็ว มือที่จับปากกาอยู่เริ่มสั่น เขาจะเรียกเธอไปพบทำไม เธอไม่อยากเข้าไปเลย เธอกลัว.กลัวอย่างบอกไม่ถูก
“พี่ภาพอจะทราบหรือเปล่าคะ ว่าให้ท่านเรียกให้ปรางค์เข้าไปทำอะไร” เธอถามเสียงสั่น ในใจหวาดหวั่นยิ่งนัก
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่านเรียกปรางค์ก็เข้าไปเถอะ” โสภาไม่พูดในสิ่งที่ตัวเองพอจะเดาออก ปรางค์รวีลังเลชั่วครู่ ก่อนจะเดินไปที่ประตูห้องทำงานของประธานบริษัท เคาะประตูหน้าห้องสามสี่ครั้ง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
“ทำไมมาช้าจัง” เขาถามด้วยย้ำเสียงหงุดหงิด
“ปรางค์ทำงานค้างอยู่ค่ะ” เธอตอบเสียงเบา
“เวลาฉันเรียก ไม่ว่าเธอจะมีงานล้นมือหรือว่าท่วมหัวขนาดไหน เธอก็ต้องเข้ามาหาฉันตั้งแต่ที่ฉันเรียก ฉันไม่ชอบคอยใครนาน”
น้ำเสียงของเขาเพิ่มระดับความดังมากยิ่งขึ้น วาจาเอาแต่ใจเผด็จการที่เธอได้ยิน ทำให้ปรางค์รวียืนตัวสั่น ประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น
“ขะขอโทษค่ะ”
“ฉันหวังว่าครั้งหน้าเธอคงไม่เข้ามาช้าอีกนะ ฉันหิวข้าวแล้วจะไปกินข้าว ที่เรียกเธอเข้ามา รู้ไหมว่าเรียกมาทำไม” เขาถามด้วยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ ซึ่งเธอไม่มีโอกาสได้เห็นเพราะมัวแต่มองที่พื้นนิ่ง
“ไม่ทราบค่ะ”
“นี่แม่คุณ หน้าฉันไปอยู่ที่พื้นหรือไง ถึงได้แต่ก้มหน้าอยู่ได้”
วิตโตริโอถามด้วยความรำคาญ เขาพูดอยู่กับเธอแท้ๆ ไม่มองหน้าเขาเลยสักนิด เอาแต่ยืนก้มหน้าอย่างเดียว ปรางค์รวีเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ หลบเลี่ยงที่จะมองหน้าเขา เธอกลัวจนหัวใจดวงนี้แทบจะเต้นออกมาข้างนอก
“เดินเข้ามาใกล้ๆ หน่อยได้ไหม ฉันขี้เกียจตะโกนพูดกับเธอ เจ็บคอไปหมดแล้ว” เขาแกล้งพูดไปอย่างนั้นไม่ได้เจ็บคอตามที่เอ่ยออกไป
ปรางค์รวีก้าวเท้าอันหนักอึ้งเดินมาหาเขาตามคำสั่ง จนกระทั่งมาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงานของเขา
“ดีมาก เอาล่ะที่เรียกเธอเข้ามาเพราะว่าจะบอกหน้าที่ใหม่ของเธอ ทุกเที่ยงเธอจะต้องไปกินข้าวกับฉัน เข้าใจหรือเปล่า” ปรางค์รวีหน้าถอดสีเมื่อได้ยินหน้าที่ใหม่ที่เขายัดเยียดให้ หน้าที่แบบนี้มีด้วยหรือ เวลาพักกลางวันเป็นเวลาส่วนตัวของพนักงาน ที่มีสิทธิ์จะไปไหนหรือทำอะไรก็ได้ แต่ต้องกลับมาที่ทำงานในระยะเวลาที่กำหนด
“ทำไมล่ะคะ” เธอถามอย่างใสซื่อไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของเขา
“พูดมากจริง ให้ทำอะไรก็ทำเถอะ ไป.ฉันหิวแล้ว เธอไม่ไปก็ได้นะแต่ฉันจะกินเธอแทนข้าว”
เขาพูดจบก็เดินมาหาปรางค์รวีที่ยืนตัวแข็ง ตกใจกับคำขู่ที่ทำให้โสตประสาทแทบจะหยุดทำงาน ก่อนจะฉวยมือนุ่มไว้ในมือของตนแล้วจับจูงเดินออกจากห้อง
ปรางค์รวีได้ยินคำประกาศก้องของเขาแล้วมีหรือจะกล้าขัด เดินตามแรงลากจูงอย่างไม่เกี่ยงงอน ใครจะกล้าขัดเล่าเมื่อคำพูดของเขาชี้ชัดว่าเอาจริงไม่ได้พูดเล่นแม้แต่นิดเดียว
สายตาของพนักงานมองร่างสูงหนาของวิตโตริโอ เดินกุมมือน้อยของนักศึกษาสาวฝึกงาน โดยยมีลูกน้องของเขาเดินตามมาด้วย พอร่างของทั้งหมดเดินผ่านไป เสียงติฉินนินทาก็ดังขึ้น
“ฉันว่านะ น้องใหม่คนนี้ต้องกลายเป็นดอกไม้ของคุณเสือแน่เลย ดูสิมาวันเดียวเจ้านายจับมือไม่ปล่อย” พนักงานสาวคนหนึ่งพูดไล่หลัง
“ใช่ ฉันก็ว่าอย่าว่าอย่างนั้น แต่คุณเสือไม่เคยยุ่งกับพนักงานในบริษัทไม่ใช่เหรอ ฉันเห็นกิ๊กของคุณเสือแต่ละคน ไม่ดารา นักร้องหรือไม่ก็นางแบบทั้งนั้นสวยๆ ทั้งนั้น” อีกคนวิจารณ์เสริม
“นั่นนะสิ ฉันเห็นแล้วอิจฉาแทน ใครได้เป็นกิ๊กกับคุณเสือถือว่าโชคดีสุดๆ” อีกคนพูดเสริมอย่างเพ้อฝัน เพราะคนที่พูดก็อยากจะเป็นหนึ่งในดอกไม้ของวิตโตริโอเช่นกัน หากแต่เขาไม่เคยยุ่งกับพนักงานในบริษัท เนื่องจากอาจทำให้ภาพจน์ของเขาที่มีต่อพนักงานเสียไป
“ฉันว่าน่าจะโชคร้ายมากกว่า คุณเสือไม่เคยยุ่งกับผู้หญิงเกินสามวันเลยสักราย ฉันเป็นประชาสัมพันธ์ของที่นี่มาแปดปี คุณเสือควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่ละคนไม่เกินสามวันพอวันที่สี่เปลี่ยนคนใหม่เสียแล้ว”
“นี่พวกเธอไม่ไปกินข้าวเที่ยงกันเหรอ มัวแต่มายืนนินทาเจ้านายอยู่ได้ อยากตกงานหรือไง” เสียงของโสภาพูดแทรกดังมากลางวง ทำให้พนักงานสาวทั้งสามหันมามองเป็นตาเดียว และรีบสลายตัวทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่พูดคือใคร
โสภาได้ยินคำติฉินนินทาของสามสาวแล้ว รู้สึกไม่สบายใจและอดหวั่นใจไม่ได้ รวมทั้งรู้สึกเสียดายที่ปรางค์รวี หญิงสาวผู้น่ารักจะตกเป็นดอกไม้ของเจ้านายหนุ่ม เธอคงไม่สามารถช่วยอะไรได้ นอกจากปล่อยให้เป็นตามลิขิตของเบื้องบนเป็นผู้กำหนด