ตอนที่ 5 เพื่อนรักมาเยี่ยมเยือน
ตอนที่ 5 เพื่อนรักมาเยี่ยมเยือน
มาริดาอมยิ้มแล้วก็หยิบอีกเรือนเลื่อนไปตรงหน้าของเจ้าของร้าน “ห่อให้ด้วยนะคะ”
“ของฉันด้วยนะคะ” จัสมินเองก็ส่งนาฬิกาในมือของตนเองให้กับเจ้าของร้านเช่นกัน
“ครับ รอสักครู่นะครับ” เจ้าของร้านยิ้มแก้มแทบปริที่ขายของได้พร้อมกันถึงสองเรือน ก่อนจะหมุนตัวเดินหายไปทางหลังร้าน
และในระหว่างที่รอสินค้าของตนเองอยู่มาริดาก็ลอบมองสังเกตหญิงสาวตรงหน้าอย่างละเอียด และพบว่าผู้หญิงคนนี้สวยมาก ทั้งรูปร่าง หน้าตาและผิวพรรณ จากนั้นเธอจึงชวนอีกฝ่ายคุยเพื่อฆ่าเวลา “คนรักของคุณคงดีใจมากนะคะที่คุณซื้อของขวัญให้แบบนี้”
“ยังไม่แน่ใจเท่าไรหรอกค่ะ เพราะเราเพิ่งคบกันได้ไม่นาน แล้วปีนี้ก็เป็นปีแรกที่ฉันให้ของขวัญเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะชอบหรือเปล่า” จัสมินบอกอย่างเขินๆ
“ผิดกับฉันเลยค่ะ เราคบกันมาหลายปีแล้ว และก็รักกันมากด้วย กะว่าถ้าเขาเรียนจบก็จะแต่งงานกันเลย” พูดจบมาริดาก็หัวเราะอย่างเขินอาย
“ยินดีล่วงหน้าด้วยนะคะ แล้วก็ขอให้มีความสุขมากๆ” จัสมินยิ้มกว้างพร้อมกับอวยพรให้อีกฝ่าย
“ขอบคุณมากค่ะ คุณก็เหมือนกันนะคะ ขอให้มีความสุข แต่ดิฉันขอเตือนเอาไว้หน่อนะคะว่าต้องดูให้ดีๆนะคะเพราะผู้ชายสมัยเนี่ยไว้ใจไม่ค่อยได้ บางคนมีภรรยาหรือไม่ก็คนรักอยู่แล้ว ก็มาหลอกเรา สวยๆอย่างคุณต้องระวังให้มากๆ” เธอบอกแล้วก็คลี่ยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นมันเหมือนกับกับเป็นการเสแสร้งเสียมากกว่าจะออกมาจากใจจริงๆ
“ค่ะ ขอบคุณที่เตือนนะคะ แต่ฉันเชื่อใจเขาค่ะ ว่าเขารักฉันจริงๆ แล้วเขาก็คงไม่หลอกลวงฉัน” จัสมินบอกอย่างมั่นใจในตัวของชายคนรัก ทำเอาหญิงสาวอีกคนถึงกับลอบค้อนให้อย่างหมั่นไส้
“ดีค่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นคุณก็เป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาทีเดียว”
แต่ก่อนที่การสนทนาจะดำเนินต่อไป หญิงสาวทั้งสองก็หันไปมองทางด้านหลังร้านพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้าของร้านเดินออกมา
“เรียบร้อยแล้วครับ” เจ้าของร้านวางกล่องนาฬิกาที่ห่อและผูกโบว์สีทองลงตรงหน้าของหญิงสาวทั้งสอง แล้วโค้งให้เพื่อเป็นการขอบคุณก่อนจะส่งยิ้มให้ “ขอบคุณมากครับที่มาอุดหนุน”
จัสมินลุกขึ้นพร้อมกับหยิบกล่องของขวัญขึ้นมาเก็บในกระเป๋าสะพายแล้วหันไปทางหญิงสาวอีกคนที่กำลังทำแบบเดียวกันก่อนจะพพูดกล่าวลา “ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ ลาก่อนนะคะ” มาริดายิ้มที่มุมปากแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากร้าน ส่วนจัสมินก็เดินเข้าไปหาน้องชายที่กำลังเดินชมนาฬิกาและเครื่องประดับในตู้โชว์กระจกอยู่ ก่อนจะเอ่ยชวนกลับบ้าน
“กลับกันเถอะ เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“ครับ” อูซาลพยักหน้ารับแล้วเดินเคียงคู่พี่สาวออกไปจากร้านขายเครื่องประดับแห่งนั้น
เมื่อกลับมาจากการซื้อของขวัญวันเกิดให้กับญาติหนุ่มเสร็จ มาริดาก็ตั้งตารอคอยการกลับมาของเขา ซึ่งชายหนุ่มออกไปที่มหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้าจนเย็นก็ยังไม่กลับ
หญิงสาวนั่งมองกล่องของขวัญที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหน้าต่างห้องตัวเองพร้อมกับอมยิ้ม แล้วเหมือนกับว่าเธอนึกอะไรขึ้นมาได้จึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องของตัวเองตรงไปยังห้องของญาติหนุ่มด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ร่างบางก้าวเข้ามาในห้องส่วนตัวของญาติหนุ่มพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง ก่อนจะเดินตรงไปยังเตียงกว้างขนาดหกฟุตที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องแล้วใช้มือสัมผัสลงไปบนผ้าคลุมเตียงอย่างแผ่วเบาพร้อมกับหลับตาลงแล้ววาดภาพในความคิดว่าถ้าเธอได้นอนอยู่บนเตียงนี้กับชายหนุ่มเธอคงจะมีความสุขมากที่สุดในโลก จากนนั้นดวงตาที่หลับพริ้มก็ค่อยๆลืมขึ้นแล้วมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งชายหนุ่มเปิดทิ้งเอาไว้ ทำให้มาริดารีบเดินไปที่โต๊ะทำงานของเขาเพื่อจะปิดคอมพิวเตอร์ให้ แต่พอหญิงสาวเดินเข้าไปใกล้คิ้วเรียวที่ถูกเขียนเอาไว้อย่างสวยงามก็ขมวดเข้าหากัน พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงและริมฝีปากบางก้เม้มเข้าหากันเมื่อเห็นภาพญาติหนุ่มยืนคู่อยู่กับหญิงสาวสวยคนหนึ่ง
“ใครกัน....หรือว่าคนรักของเสด็จพี่ที่ชื่อจัสมิน” มาริดาพึมพำกับตัวเองแล้วทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะเปิดหาภาพอื่นในแฟ้มรูปภาพทันที และแล้วแววตาสีน้ำตาลเข้มก็ต้องหรี่ลงพร้อมกับกระแสไปแห่งความเกลียดชังก็พุ่งพรวดขึ้น เมื่อเห็นภาพของทั้งคู่ผ่านสายตาของเธอไปภาพแล้วภาพเล่า และมันก็ยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดในหัวใจให้กับเธอยิ่งนัก แต่แล้วมาริดาก้มาหยุดลงที่รูปภาพของหญิงสาวที่ยืนอยู่คนเดียวพร้อมกับพิจารณาหญิงสาวในพร้อมก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจเมื่อนึกออกว่าเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ร้านขายนาฬิกา
“ผู้หญิงคนนี้...คนที่เราเจอที่ร้านขายนาฬิกานี่นา”
ริมฝีปากบางขบเข้าหากันอีดครั้งก่อนที่ฝ่ามือเรียวบางจะตบลงบนโต๊ะทำงานอย่างแรงด้วยความริษยาพร้อมกับเน้นเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธแค้น
“ที่แท้ก็นังนี้นี่เองที่เป็นคนรักของเสด็จพี่มาริค ฮึ ฮึ คิดหรือว่าคนอย่างมาริดาจะยอมให้แกสมหวัง นังแมวขโมย ฉันจะทำให้แกต้องเจ็บปวดและทุข์ทรมานจนแทบบ้าไปเลย และยิ่งรักกันมากเท่าไรความเจ็บปวดมันก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นเท่าตัว ฮึ ฮึ” เธอมองภาพหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะปิดแฟ้มภาพลงและปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วก้าวออกไปจากห้องพร้อมกับครุ่นคิด...เธอจะต้องวางแผนทำให้ทั้งสองคนแตกแยกกันให้แนบเนียนที่สุด และไม่มีผลกระทบมาถึงเธอ เสด็จพี่มาริคจะต้องหันมาสนใจเธอ ถ้าไม่มีผู้หญิงคนนั้น...
เมื่อรถยนต์สีดำเลี้ยวเข้ามาในเขตบ้าน สองพี่น้องก็ต้องหันมามองหน้ากันเมื่อเห็นรถยนต์สีครีมของใครก็ไม่รู้มาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน
“รถใครกัน สาวๆของเธอหรือเปล่าอูซาล” ผู้เป็นพี่สาวเลิกคิ้วขึ้น แต่สายตายังจับจ้องอยู่ที่รถยนต์เบื้องหน้า
“ไม่ใช่แน่ พวกนั้นไม่กล้ามาที่นี่หรอก” อูซาลขับรถเคลื่อนไปจนชิดพร้อมกับจอดต่อท้ายรถยนต์คันสีครีมคันเบื้องหน้าก่อนจะก้าวลงมาจากรถแล้วหันไปถามคนสนิทของตนเองที่ยืนรอรับอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
“ใครมาเหรออาซัม”
“คุณบินลาท์พระเจ้าค่ะ” อาซัมรายงานพร้อมกับเอื้อมมือไปรับถุงข้าวของที่อยู่ในมือของเจ้าชายหนุ่ม
“บินลาท์งั้นเหรอ เขามาทำอะไรที่นี่?” อูซาลขมวดคิ้วแล้วหันไปมองหน้าพี่สาวซึ่งจัสมินเองก็หันมามองน้องชายพอดี
“ไม่รู้สิ เรารีบเข้าไปดูเขากันเถอะ”
ผู้เป็นน้องชายพยักหน้ารับ แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินเข้าไปในบ้านและตรงไปที่ห้องรับแขกของบ้าน
ภายในห้องรับแขกปรากฏร่างของชายหนุ่มผิวสีแทนเนียนละเอียด ผมสั้นสีดำสนิทขับให้ใบหน้าคมเข้ม และจมูกโด่งเป็นสันนั้นดูโดดเด่นน่ามองมากยิ่งขึ้น และเมื่อมีเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาในห้อง เขาจึงหันไปมองพร้อมกับคลี่ยิ้มให้กับคนทั้งคู่ที่เดินเข้ามา แล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งต่ำให้เพื่อแสดงความเคารพและเอ่ยคำทักทายออกไป
“สวัสดีครับ เจ้าหญิงจัสมิน เจ้าชายอูซาล”
“สวัสดีครับพี่บินลาท์” อูซาลทักทายกลับแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟา
“สวัสดีค่ะบินลาท์ มานานแล้วเหรอคะ” จัสมินส่งยิ้มหวานให้เพื่อนเก่าและนึกย้อนไปถึงเมื่อตอนเด็กๆที่เธอกับเขาได้เจอกันครั้งแรกที่ตำหนักบุหงาซึ่งตอนนั้นพระชายามีนาได้หนีพระบิดาของเธอไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่นั้น และเพื่อต้องการง้องอนชายาของตนเองพระบิดาจึงใช้เธอเป็นตัวเชื่อมเพื่อขอคืนดี และนั่นก็ทำให้เธอได้เจอกับบินลาท์เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ร่าเริงและคุยสนุก และมันก็ทำให้ทั้งเธอและเขากลายเป็นเพื่อนสนิทกันได้ง่าย แล้วความสัมพันธ์นั้นก็ยิ่งแน่นแคว้นขึ้นเมื่อบินลาท์ได้เข้ามาเรียนร่วมชั้นเรียนเดียวกันกับเธอ จากวันนั้นเป็นต้นมาบินลาท์ก็เป็นเพื่อนผู้ชายคนเดียวที่เธอสนิทที่สุด
“ไม่นานหรอกครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนแบบกะทันหันเช่นนี้” บินลาท์ยิ้มอย่างดีใจที่ได้เจอกับหญิงสาวที่ตนแอบหลงรักมาตั้งแต่เด็กๆ แต่อีกฝ่ายก็มองเขาเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วคุณไปไงมาไงคะถึงได้มาที่นี่ได้ แล้วรู้ได้ยังไงคะว่าเราสองคนพักอยู่ที่นี่” จัสมินถามแล้วผายมือเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มนั่งลงก่อนที่ตัวเองจะเดินไปนั่งลงข้างๆกับน้องชายแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนชาย
“พอดีผมมาติดต่อธุรกิจที่นี่ ก็เลยแวะมาเยี่ยมพวกคุณด้วย ผมไปสอบถามที่อยู่ของพวกคุณจากพระชายามีนา แล้วพระนางก็ยังฝากความคิดถึงมาถึงพวกคุณด้วยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะที่มาเยี่ยมพวกเรา งั้นเดี๋ยวอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกันเลยนะคะ พอดีวันนี้ฉันตั้งใจว่าจะทำอาหารทานกันเอง คุณโชคดีนะคะที่มาถูกจังหวะ” หญิงสาวคลี่ยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม
“ขอบคุณครับ และนับว่าเป็นเกียรติของผมที่ได้ทานอาหารฝีมือของคุณ” พูดจบบินลาท์ก็มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างหวานซึ้งก่อนจะพูดต่อ “แล้วเย็นนี้ถ้าผมจะขอเชิญคุณทั้งสองคนไปทานอาหารเย็นเพื่อเลี้ยงตอบแทนบ้างจะมีอะไรขัดข้องหรือเปล่าครับ?”
“คงต้องผิดหวังแล้วล่ะครับ เพราะเย็นนี้พี่สาวของผมมีนัดกับหนุ่มหล่อแล้ว” ยังไม่ทันที่จัสมินจะตอบ อูซาลก็ตอบแทนให้เสียก่อนแล้ว และคำตอบของอูซาลนั่นเองที่ทำให้รอยยิ้มของบินลาท์จางหายไป และเปลี่ยนเป็นความเจ็บแปลบที่กลางใจขึ้นมาแทน เขาเคยบอกตัวเองหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าให้ตัดใจจากหญิงสาวตรงหน้า แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่คิดเลยสักครั้ง ดังนั้นสิ่งที่เขาจะทำได้ในตอนนี้ก็คือฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย
“เหรอครับ น่าเสียดายจัง”
“ไม่ต้องเสียดายหรอกค่ะ คราวหน้ายังมีนี่คะ” จัสมินยิ้มให้บินลาท์ก่อนจะหันมาค้อนให้กับน้องชายแล้วมาทางเพื่อนหนุ่มอีกครั้ง “เดี๋ยวคุณนั่งคุยกับอูซาลไปก่อนนะคะ ฉันจะไปทำอาหารกลางวันให้ทาน” พูดจบราชนิกูลสาวก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากวงสนทนา