บทย่อ
“ใช่ผมเอง ตามผมมานี่!” อูซาลเน้นเสียงลอดไรฟันแล้วฉุดแขนหญิงสาวให้เดินตามเขาออกมาจากในงาน “ปล่อยนะเพคะ!” สุกัญญาทั้งทุบทั้งตีที่มือหนาของเจ้าชายหนุ่มแล้วขืนตัวเอาไว้ แต่ก็สู้แรงของชายหนุ่มไม่ไหว เขาดึงเธอออกมาจากห้องจัดเลี้ยงแล้วเดินเลาะมาทางสวนด้านหลังที่มีเพียงแสงไฟสลัวๆและไม่มีผู้คนอยู่เลย “ปล่อย!” หญิงสาวสะบัดแขนอย่างแรง “ทำไม? ทีกับผมทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว แต่กับเจ้าจิซัสไม่เห็นคุณจะทำท่ารังเกียจเลย” อูซาลเน้นเสียงลอดไรฟันพร้อมกับกำข้อมือบางของสุกัญญาเอาไว้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้หญิงสาววิ่งหนี “ก็เพราะว่าคุณจิซัสไม่ใช่ผู้ชายที่น่ารังเกียจ และฉวยโอกาสอย่างฝ่าบาท” ด้วยความกลัวและโมโหทำให้หญิงสาวตะคอกใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างลืมตัว “น่ารังเกียจยังงั้นเหรอ ฮึ ฮึ” อูซาลหัวเราะในลำคอแล้วออกแรงบีบที่ข้อมือของหญิงสาวแรงขึ้นและพูดต่อ “คนที่น่ารังเกียจน่าจะเป็นเจ้านายของคุณมากกว่า ผมว่าทางที่ดีอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับจิซัสจะดีกว่า” “ไม่เพคะ คุณจิซัสเป็นคนดี แต่คนอย่างฝ่าบาทต่างหากที่หม่อมฉันควรจะออกห่างและระวัง” เธอเชิดหน้าขึ้น แต่แล้วก็ต้องร้องออกมาเมื่อข้อมือทั้งสองข้างเจ็บร้าวราวกับจะหักออกจากกัน “โอ๊ย! หม่อมฉันเจ็บ ปล่อยนะเพคะ! ถ้าไม่ปล่อยหม่อมฉันจะร้องให้คนช่วย” ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด “ก็เอาสิ พวกนั้นจะได้ออกมาเห็นว่าผมกำลังทำอะไรคุณอยู่ แล้วมาดูกันว่าใครที่จะเป็นฝ่ายชนะ แล้วถ้าคุณร้องผมก็จะจูบคุณ อยากลองดูก็ตามใจ” เจ้าชายอูซาลดึงร่างบางหอมกรุ่นกลิ่นเนื้อนวลสาวเข้ามาแล้วตวัดแขนโอบรอบลำตัวบอบบางนั่นเอาไว้จนเรียกได้ว่าไม่มีช่องว่างให้มดเดินเลยด้วยซ้ำ
ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น
ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น
วังหลวง ประเทศมาราคัต
ภายในห้องทำงานขององค์สุลต่านการีฟ ซึ่งพระองค์กำลังนั่งตรวจรายงานของเหล่าข้าราชบริพารอยู่อย่างคร่ำเคร่ง โดยมีพระชายามีนาคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ แต่แล้วจู่ๆพระนางก็เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของพระสวามีพร้อมกับรับสั่งขึ้น
“เสด็จพี่ทรงคิดใหม่ดีกว่านะเพคะ”
การีฟวางสมุดรายงานลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองชายาของตนพร้อมกับขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถามขึ้นแบบยิ้มๆ
“เจ้าพูดถึงเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องของลูกจัสมินไงเพคะ ลูกคงไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่เสด็จพี่หาให้แน่ๆ” พูดจบมีนาก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับสวามี
“ไม่ยอมก็ต้องยอม จัสมินอายุ 20 กว่าแล้วนะ ถ้าเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาทั่วๆไปเขาก็แต่งงานกันไปนานแล้ว”
“แต่เสด็จพี่ก็ทรงทราบว่าลูกไม่ชอบการบังคับ แล้วเรื่องการแต่งงานมันก็ควรจะเกิดจากความรักของทั้งสองฝ่าย” มีนาพยายามหาเหตุผลมาเกลี่ยกล่อมให้สามีเปลี่ยนใจ
“ข้ามั่นใจว่าคนที่ข้าเลือกให้กับลูกเป็นผู้ชายที่ดีพร้อมและสามารถดูแลลูกสาวของเราได้ และข้าก็เชื่อว่าลูกสาวของเราคงจะรักเขาได้ไม่ยาก” การีฟเอื้อมมือมากุมมือบางของชายาเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบุตรสาวแล้ว
“หม่อมฉันเข้าใจดีว่าเสด็จพี่หวังดีกับลูก” มีนาผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆและยอมจำนนต่ออีกฝ่าย
แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะสนทนากันต่อนั้น ประตูห้องก็เปิดกว้างออกแล้วร่างบางของเจ้าหญิงจัสมินก็ก้าวเข้ามาภายในห้องทำให้เส้นผมสีนิลยาววาววับดุจเส้นไหมพลิ้วไหวไปมาตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย และดวงหน้ารูปไข่ที่ขาวนวลเป็นยองใยเข้าส่วนกับคิ้วเรียวดกดำได้รูปและจมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติ
“เสด็จพ่อต้องการจะพบลูกหรือเพคะ” เจ้าหญิงสาวย่อตัวลงเพื่อเป็นการแสดงเคารพให้กับพระบิดาและพระมารดา
“นั่งลงสิ” มีนาบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินมาประคองบุตรสาวไปนั่งลงบนโซฟาข้างๆกับตัวเอง จากนั้นการีฟก็เดินเข้ามาทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวตรงข้ามกับทั้งคู่พร้อมกับมองหน้าบุตรสาวก่อนจะพูดขึ้น
“พ่อมีเรื่องสำคัญที่จะบอกกับเจ้า”
คำพูดของผู้เป็นบิดาทำให้เจ้าหญิงจัสมินต้องขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกสงสัยพร้อมกับจ้องมองหน้าบิดาอย่างรอฟังประโยคต่อไป ส่วนการีฟก็หันไปมองหน้ามีนาก่อนจะหันกลับมามองหน้าบุตรสาวแล้วพูดต่อ “พ่อต้องการให้เจ้าแต่งงานกับลูกชายเพื่อนของพ่อซึ่งมีฐานะเท่าเทียมกับเจ้าทุกอย่าง” จัสมินฟังแล้วก็ถึงกับอ้าปากค้างเพราะสิ่งที่เธอกังวลกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
ราชนิกูลสาวหันมามองหน้าพระมารดาเลี้ยงด้วยแววตามึนงงก่อนจะหันกลับมาทางพระบิดาและพูดคัดค้าน “แต่ลูกยังไม่อยากแต่งงาน ลูกอยากทำงานที่ลูกฝันเอาไว้ให้สำเร็จเสียก่อน แล้วลูกก็ยังอยากที่จะเรียนต่อปริญญาโทด้วย เสด็จพ่ออย่าเพิ่งให้ลูกแต่งงานเลยนะเพคะ”
“การแต่งงานคือหน้าที่ของผู้หญิงทุกคน แล้วหลังจากแต่งงานแล้วเจ้าอยากจะทำอะไรก็ไม่มีใครห้าม” การีฟเอนหลังพิงกับพนักโซฟา แต่สายตาก็ยังจ้องไปที่ใบหน้าเนียนของบุตรสาวนิ่ง
“แต่ว่าลูกไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น แล้วการแต่งงานที่ปราศจากความรักมันก็เป็นข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตคู่นะเพคะ” จัสมินพูดเสียงอ่อยลงเพื่อให้บิดาเห็นใจเธอ
การีฟลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งลงข้างๆกับบุตรสาวก่อนจะดึงร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน “ไม่มีพ่อคนไหนที่จะผลักลูกของตัวเองไปหาความทุกข์หรอก พ่อดูอย่างดีแล้วว่าเจ้าชายพระองค์นี้ทรงเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง และสามารถทำให้ลูกของพ่อมีความสุขได้”
“แต่ว่าลูก...” หญิงสาวหยุดคำพูดเอาไว้แค่นั้นแล้วก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่เหมือนกับกำลังใช้ความคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าบิดาด้วยแววตาขอร้องและพูดขึ้น “ลูกยอมแต่งงานก็ได้เพคะ แต่ต้องหลังจากที่ลูกเรียนจบปริญญาโทแล้ว ลูกขอร้องเสด็จพ่อเพียงเท่านี้แหละเพคะ ทรงให้ลูกได้ไหมเพคะ” ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่อ้อนวอนของธิดาสาวทำให้การีฟต้องหันไปมองหน้ามีนา ซึ่งเธอก็พยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงเห็นด้วยกับคำขอร้องของบุตรสาว
“ได้ พ่อจะให้ตามที่เจ้าขอ แต่พ่อจะส่งเจ้าไปเรียนต่อที่อเมริกา ที่เดียวกับอูซาลน้องชายของเจ้า” การีฟ
บอกเสียงเข้มพร้อมกับมองหน้าบุตรสาว
“เพคะ” หญิงสาวรับคำแล้วก้มหน้าลงซ่อนแววตาเศร้าโศกของตนเองไว้
มีนามองบุตรสาวด้วยความเห็นใจก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา และก็เข้าใจดีว่าตอนนี้บุตรสาวคงต้องการที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า ดังนั้นเธอจึงพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้บุตรสาว
“พ่อกับแม่ก็มีเรื่องพูดกับเจ้าแค่นี้แหละ เจ้ากลับไปทำงานต่อเถอะ”
จัสมินเงยหน้าขึ้นมองหน้าพระมารดาด้วยแววตาซึมๆก่อนจะหันมาทางพระบิดา “ถ้างั้นลูกขอตัวก่อนนะเพคะ” พูดจบหญิงสาวก็ลุกขึ้นแล้วย่อตัวลงทำความเคารพบุพการีทั้งสองก่อนจะเดินออกไป
เมืองเคมบริดจ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
อาซัมองครักษ์หนุ่มเดินเข้ามาในห้องบรรทมของเจ้าชายอูซาล โดยที่ในมือของเขามีซองจดหมายปิดผนึกถือมาด้วย แต่ภาพของร่างสูงที่นอนหลับคว่ำหน้าอยู่บนเตียงกว้างนั้นก็ทำให้เขาต้องหยุดยืนมองนิ่งก่อนจะหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียงแล้วหันกลับไปมองบนเตียงอีกครั้ง แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้และเอื้อมมือไปแตะที่ต้นแขนของคนนอนหลับพร้อมกับปลุกให้ตื่น
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพระเจ้าค่ะ”
ร่างที่นอนนิ่งนั้นค่อยๆพลิกตัวนอนหงาย แล้วลืมตาขึ้นมองบุคคลที่เข้ามารบกวนความสงบสุขของตนเองและเมื่อเห็นชัดว่าเป็นใครชายหนุ่มก็เลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมกับยกมือหนาเรียวลูบไปที่ใบหน้าคมเข้มที่ถอดแบบมาจากพระบิดาราวกับพิมพ์เดียวกัน ทั้งรูปหน้าที่ได้สัดส่วน บวกกับริมฝีปากยักได้รูป จมูกโด่งเป็นสันตรง ดวงตาคมกริบราวกับดวงตาของพญาเหยี่ยว และคิ้วหนาดกดำ ทำให้บรรดาสาวๆที่พบเห็นต้องมองด้วยความหลงใหลและคลั่งไคล
อูซาลพยุงตัวลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงพร้อมกับกอดอกมองคนมาปลุกด้วยสายตาที่ไม่พอใจ“มาปลุกอะไรแต่เช้าเชียวอาซัม”
“12 นาฬิกาแล้วพระเจ้าค่ะ” อาซัมบอกเปรยๆและมันก็ทำให้เจ้าชายหนุ่มหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียงของตนเองก่อนจะหันกลับมามองหน้าองครักษ์หนุ่มแล้วยกมือขึ้นเสยผมที่ตกลงมาปกคลุมที่หน้าผาก “แต่มันก็ยังเช้าสำหรับฉัน นายก็รู้ว่าเมื่อคืนฉันกลับมาดึกแค่ไหน”
“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมรู้ แต่ว่ามีจดหมายมาถึงฝ่าบาทพระเจ้าค่ะ จากองค์สุลต่าน” องครักษ์หนุ่มวางซองจดหมายลงบนโต๊ะหัวเตียงแล้วถอยห่างออกมา
อูซาลขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วหยิบซองจดหมายขึ้นมาเปิดอ่าน จากนั้นก็พับเก็บเข้าซองตามเดิมหลังจากที่อ่านจบ แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่เป็นทั้งองครักษ์และเพื่อนร่วมชั้นเรียนก่อนจะพูดขึ้น “อาทิตย์หน้าพี่จัสมินจะทรงมาเรียนต่อที่นี่ เสด็จพ่อให้ช่วยดูแลพระนางด้วย แล้วเดี๋ยวนายให้คนไปทำความสะอาดห้องพักเตรียมเอาไว้ให้ด้วย” สั่งงานเสร็จอูซาลก็ก้าวลงจากเตียงเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ทว่าเขาก็ต้องหันกลับมาทางอาซัมอีกครั้งเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “อ้อ...แล้วช่วงบ่ายฉันมีนัดดูหนังกับอลิช คงจะกลับดึกๆ”พูดจบก็เดินหายเข้าห้องน้ำไป
“เฮ้อ...ถอดแบบพระบิดามาจริงๆ” อาซัมถอนใจเฮือกใหญ่พร้อมกับมองตามหลังเจ้านายหนุ่มไปด้วยสีหน้ายิ้มๆก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
1 อาทิตย์ต่อมา สนามบิน ประเทศมาราคัต
ร่างบางของเจ้าหญิงจัสมินซึ่งอยู่ในชุดเสื้อหนังสีดำสำหรับการเดินทางโผเข้ากอดพระบิดาด้วยความรัก แม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องจากบิดามารดาไป แต่หญิงสาวก็อดที่จะใจหายไม่ได้ “เสด็จพ่อรักษาสุขภาพด้วยนะเพคะ”
“เจ้าก็เหมือนกัน แล้วพ่อก็ขอให้เจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ” การีฟคลี่ยิ้มแล้วโอบกอดบุตรสาวเอาไว้พร้อมกับอวยพรให้
“ขอบพระทัยเพคะ” จัสมินผละออกจากอกบิดาพร้อมกับยิ้มรับ ก่อนจะหันมาหาพระมารดาแล้วโผเข้าซบอกอุ่นนั้นก่อนจะพูดขึ้นอย่างห่วงใย “เสด็จแม่ดูแลพระองค์เองด้วยนะเพคะ”
“จ้ะ เจ้าเองก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ แล้วถ้ามีอะไรขาดเหลือก็รีบโทรมาบอกแม่ แม่จะรีบจัดการให้” มีนากระชับอ้อมแขนที่โอบรัดร่างบางด้วยความรักก่อนจะคลายออก
“เจ้าก็พูดยังกับลูกสาวของเราอายุแค่ 7-8 ขวบ อย่าลืมนะว่าจัสมินน่ะโตแล้ว” สุลต่านการีฟเดินเข้ามาโอบไหล่พระชายาของพระองค์พร้อมกับยิ้มอย่างล้อเลียน
“ในสายตาของคนเป็นแม่ ต่อให้ลูกโตแค่ไหนก็ยังรู้สึกว่าพวกเขายังเป็นเด็กอยู่ดี หม่อมฉันอดเป็นห่วงไม่ได้หรอกเพคะ” มีนาตวัดสายตามองค้อนให้กับพระสวามี และพอดีกับที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของสนามบินประกาศเรียกผู้โดยสารไปขึ้นเครื่องเป็นรอบสุดท้าย ทำให้มีนาต้องปล่อยมือจากตัวบุตรสาวพร้อมกับส่งยิ้มให้
“โชคดีนะลูก”
“เพคะ ลูกทูลลาทั้งสองพระองค์นะเพคะ” หญิงสาวย่อตัวลงก่อนจะเดินหายไปทางประตูผู้โดยสาร โดยมีสายตาของผู้เป็นบิดาและมารดามองไปจนลับสายตา
เมืองเคมบริดจ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
เจ้าหญิงจัสมินก้าวลงจากรถยนต์ส่วนตัวก่อนจะถอดแว่นตาสีชาดำออกแล้วแหงนเงยขึ้นมองไปยังตัวบ้านที่เป็นตึกสีขาว และต่อมาไม่กี่นาทีประตูไม้อย่างดีสีน้ำตาลเข้มก็เปิดกว้างออกพร้อมกับร่างสูงของเจ้าชายอูซาลที่เดินคลี่ยิ้มกว้างเข้ามาโค้งต่ำให้กับพี่สาวต่างมารดาอย่างเคารพ
“ยินดีต้อนรับท่านพี่”
“ขอบใจจ้ะ เธอสบายดีหรือเปล่า?” ผู้เป็นพี่สาวยิ้มพร้อมกับมองหน้าน้องชายอย่างพิจารณา
“สบายดีครับ เชิญท่านพี่ด้านในดีกว่า” เจ้าชายหนุ่มบอกแล้วเดินมาประคองพี่สาวเข้าไปด้านในบ้าน ส่วนอาซัมก็กำลังคุมให้คนรับใช้ขนกระเป๋าของนายสาวขึ้นไปไว้บนห้องที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้
เจ้าชายอูซาลนั่งลงบนโซฟารับแขกก่อนจะหันไปมองพี่สาวที่นั่งลงข้างๆกับเขาและเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไมจู่ๆท่านพี่ถึงได้มาเรียนต่อล่ะ ทั้งๆที่เมื่อต้นปีท่านพี่บอกว่าขอทำงานก่อนแล้วค่อยเรียนต่อทีหลัง หรือว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?”
จัสมินหันมามองสบตากับน้องชายก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาแล้วพูดขึ้นอย่างช้าๆ “เสด็จพ่อจะให้พี่แต่งงาน แต่พี่ไม่อยากแต่งก็เลยขอมาเรียนต่อก่อน”
“แบบนี้นี่เอง แล้วท่านพี่บอกเสด็จพ่อไปหรือเปล่าว่าไม่อยากแต่งงาน กับคนที่ไม่ได้รัก” อูซาลลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมมาเกาะที่พนักโซฟาด้านหลังพี่สาว
“พี่บอกไปแล้ว แต่พอมาคิดดูอีกทีพี่ก็ไม่อยากให้เสด็จพ่อต้องเสียคำสัตย์ที่ให้ไว้กับเพื่อน” หญิงสาวบอกเสียงแผ่วพร้อมกับก้มลงมองมือของตนเองที่อยู่บนตัก
“เฮ้อ...ทำใจลำบากเหมือนกันนะ แต่น้องว่าตอนนี้ท่านพี่อย่าเพิ่งคิดอะไรให้ตัวเองไม่สบายใจเลยเพราะถึงยังไงก็ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 2 ปี แล้ววันนี้ท่านพี่ก็เดินทางมาเหนื่อยๆ ขึ้นไปพักผ่อนบนห้องก่อนเถอะ”
“ก็ดีเหมือนกัน พี่เองก็รู้สึกเพลียๆ” พูดจบจัสมินก็ลุกขึ้นแล้วหันหน้ามาทางน้องชายที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง
“น้องจะเดินไปส่งที่ห้อง” อูซาลคลี่ยิ้มให้กำลังใจก่อนจะพาพี่สาวเดินขึ้นไปบนห้องพักที่อยู่ชั้นบน