7 ออกเดินทางกลางดึก
ตอนที่ 7 ออกเดินทางกลางดึก
“มารดาเจ้าเถอะ!! ซูหรานนางตัวดี! เจ้ากล้าหลอกข้างั้นรึ? คอยดูเถอะ! จากนี้ไปข้าจะไม่ทำดีกับเจ้าอีกแล้ว! หากข้าเห็นเจ้าที่ไหนข้าจะจับเจ้าทำเมียที่นั่น! โถ่เอ๊ย!!! ไม่ได้ดั่งใจเลยซักอย่าง”
จงอี้ฟงโวยวายพังข้าวของในบ้านของซูหราน แม้ว่าในห้องนั้นจะโล่งมาก และไร้สิ่งของก็ตาม
อี้ฟงปัดมือไปมาจนโดนเชิงเทียนเข้า ผสมกับก่อนหน้านี้ขวดน้ำมันที่ซูหรานเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉินหล่นกระจายบนพื้น จึงก่อให้เกิดไฟลุกโชนขึ้นมา
ฟึบ!!!!
“แม่งเอ๊ย!!!!”
จงอี้ฟงรีบวิ่งเป๋ซ้ายเป๋ขวาลงมาจากบ้านของซูหรานด้วยความมึนเมา
“ดูซิ! หลังจากนี้เจ้าจะไปซุกหัวอยู่ที่ใด”
อี้เฟิงที่ไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นอย่างพอใจ
หากนางไร้ซึ่งที่พึ่งพิง สุดท้ายนางก็ต้องมาอ้อนวอนขอให้ข้าช่วยเหลืออีกเป็นแน่ จงอี้ฟงแสยะยิ้มชั่วร้าย
“ข้ารอเจ้าตั้งแต่หัวดำยันหัวหงอก คอยดูเถอะว่าข้าจะเล่นสนุกกับเจ้าอย่างไร”
จงอี้ฟงหั่วเราะลั่นจนชาวบ้านพากันแห่วิ่งมาดู
“อี้ฟงเจ้าบ้าไปแล้วหรือ จู่ๆ มาวางเพลิงบ้านแม่นางเหยียนกับลูกเพราะเหตุใด? แล้วนี่แม่นางเหยียนล่ะ นางไปที่ใดแล้ว? คงไม่ใช่ว่านางติดอยู่ในกองไฟหรอกนะ!”
ป้าเสวี่ยที่อยู่ไม่ไกลออกมาดูความปั่นป่วนพร้อมกับสามีและลูกๆ จึงเอ่ยซักถาม
“นางไปไหนใครจะไปรู้ แต่ข้าขอบอกไว้ที่นี่เลยว่า หากข้าหานางเจอ ข้าจะจับนางทำเมียให้จงได้”
จงอี้ฟงประกาศเสียงดังก้อง
“ดูท่าแล้วแม่นางเหยียนคงจะหนีไปได้ เจ้าอี้ฟงก็เลยโมโหเผาบ้านหลังเล็กของนาง”
สามีของป้าเสวี่ยหันไปคุยกับภรรยา
“ขอให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เถอะ เหยียนซูหรานนางนิสัยดีมาก ลูกสาวก็น่ารักพูดคุยเก่ง ขอให้พวกนางปลอดภัยทีเถอะ”
ป้าเสวี่ยได้แต่อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์พลางยืนหลบอยู่ด้านหลังสามีอย่างขลาดกลัว
“อี้ฟงเจ้าทำกับนางแบบนี้ นางจะไม่หวาดกลัวเจ้าแล้วหรอกหรือ”
ลุงเสวี่ยเอ่ยถาม ไม่นานบ้านข้างๆ ที่ได้เห็นแสงไฟลุกโชนก็พากันวิ่งกรูกันมาดู บ้างก็ถือถังน้ำมาด้วยเผื่อว่าจะได้ช่วยอะไรได้
ทว่า! พอทุกคนรู้ว่าคนที่ก่อความไม่สงบคือผู้ใด ก็ได้แต่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ แล้วถามหาซูหรานว่านางเป็นเช่นไรบ้าง
“ยังจะถามอีกว่านางเป็นเช่นไร ป่านนี้คงวิ่งหัวซุกหัวซุนหนีไปไกลแล้วกระมัง”
“เป็นข้า ข้าก็ไม่กล้าอยู่หรอก คนอะไรชอบมารังควานผู้อื่นในยามวิกาลอยู่ได้ แทนที่จะได้หลับได้นอนดีๆ แต่กลับกลายเป็นว่าแม้แต่ตอนหลับนอนยังต้องคอยระวัง หากข้าเป็นนาง ข้าคงจากไปตั้งนานแล้วไม่อยู่ช่วยงานชดใช้หนี้จนหมดแบบนี้หรอก”
“ซูหรานนางไปยืมอีแปะอี้ฟงมาสินะถึงได้ต้องทำงานหนักเช่นนั้น มิน่าล่ะ แต่ล่ะวันข้าเห็นนางเก็บผักมาต้มกินเป็นกับข้าวทุกวัน”
“นางทำงานไม่ใช่หรือ? ค่าแรงก็หาได้ถูกไม่! นางจะไม่มีเงินซื้อเนื้อซื้อปลากินเลยหรืออย่างไร”
ยิ่งนานผู้คนก็ยิ่งถือคบเพลิงออกจากบ้านมารวมกลุ่มกัน และพูดคุยเรื่องซูหรานอย่างสนุกปาก
“อี้ฟงให้ค่าแรงนางน้อยกว่าคนอื่นๆ เขาบอกว่านางทำงานให้เขาก็เพื่อชดเชยเงินที่ยืมไป เพราะเขาให้เงินนางมากพอแล้ว”
“อ้าว! ไม่ใช่ว่าซูหรานคืนเงินที่ยืมไปนานแล้วหรอกหรือ? ได้ยินว่าเมื่อสองปีที่แล้วนางคืนหนี้สินพร้อมกับเงินดอกเบี้ยให้เขาด้วยนะ”
“นั่นสิๆ ขนาดนางคืนเงินให้ไปหมดแล้ว อี้ฟงคนนี้ยังจะกดขี่นางกับลูกอยู่อีก ไร้ยางอายจริงๆ”
“ถุย!!! ไสหัวไปให้หมด ทั้งหัวหงอกหัวดำเลย ไม่ต้องมาแส่รู้! ตอนนั้นนางลำบากทำอย่างกับว่าพวกเจ้ากล้ายื่นมือมาช่วย เห็นมีแต่ข้านี่แหละที่ใจดีกับนาง มัวมาพูดเอาดีเข้าตัวอะไรกัน พวกเจ้าต่างหากที่ไร้ยางอายไม่ช่วยเหลือนาง ทีอย่างนี้กลับมาต่อว่าข้า”
จงอี้ฟงถุยน้ำลายลงพื้นทั้งยังหาที่ยึดจับเพราะเมามากเกินไป
“เฮอะ! เหตุใดไม่พูดต่อล่ะ พวกท่านเงียบทำซากอันใด พูดไม่ออกเหรอ ถึงข้าจะเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เหมือนกับคนสูงส่งอย่างพวกท่านหรอกที่ปากว่ามือไม่กระดิก”
อี้ฟงชี้มือไปมั่วๆ แล้วก่นด่าผู้คนที่เอาแต่มองดูโดยไม่ช่วยเหลืออันใดดีแต่พูดไปวันๆ
“เจ้าถือถังน้ำมาไม่ใช่หรือ ยืนบื้ออะไรอยู่อีกไม่ไปดับไฟล่ะ หรือจะรอให้มันลามไปบ้านพวกเจ้าก่อนถึงจะลงมือได้”
อี้ฟงที่เมาจนแทบยืนไม่อยู่ ชี้ไปยังถังน้ำในมือของชายชาตรีมากกว่าสิบคน แล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย
เมื่อได้ยินดังนั้นชายพวกนั้นก็กัดฟันดังกรอด ก่อนจะพากันเอาถังน้ำไปดับไฟแม้ว่าไฟจะเผาบ้านไม้ของนางไปจนจะหมดแล้วก็ตาม
“เฮอะ! ทำเป็นอยากช่วยเหลือ ตอนไฟลุกแรงๆ ก็ยืนดูหน้าตาเฉย”
จงอี้ฟงเดินออกจากลานบ้านของซูหราน ผู้คนเห็นเขาเดินผ่านก็พากันหลีกทางให้แล้วกลับไปซุบซิบกันต่อ
“เจ้าว่าซูหรานจะไปหลบอยู่ที่ใด”
“ข้าว่านางต้องหอบลูกไปหลบในภูเขาเป็นแน่”
“น่าสงสารนางกับลูกจริงๆ มืดค่ำขนาดนี้นางต้องกลัวมากแค่ไหน”
“นั่นสิๆ”
“เจ้าได้ยินที่เจ้าจงอี้ฟงนั่นพูดหรือไม่ เขาลั่นวาจาออกมาว่าหากพบเจอนางที่ใดจะจับนางทำเมียที่นั่น”
“ชายคนนี้น่ากลัวจริงๆ แถมช่วงนี้ข้าได้ยินว่าเขาแอบลักกินขโมยกินกับเมียคนอื่นด้วยนะ”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
“หูยยยย ข่าวออกจะดังเจ้าไปเก็บใบชาอยู่ที่ใดถึงไม่รู้ ได้ยินว่าทำกันตอนกลางวันแเสกๆ เลยด้วย แถมลีลาเขาเด็ดใช้ได้เลยนะ”
“พวกเจ้า! แยกย้ายๆ ดึกป่านนี้แล้วยังจะมาจับกลุ่มนินทาคนอื่นอยู่ได้”
ป้าเสวี่ยร้องเสียงดังไล่ให้พวกเขากลับบ้านไป
“โธ่เอ๊ยป้าเสวี่ย พวกข้าก็พูดคุยกันให้พอนอนหลับ”
“ไปๆ กลับกันไปได้แล้ว”
ลุงเสวี่ยที่เห็นว่าพวกที่มาชุมนุมกันไม่ยอมจากไปจึงเอ่ยปากไล่ด้วยตนเอง
“ช่างพวกเขาเถอะ ปะๆ เรากลับบ้านกัน”
ป้าเสวี่ยรีบดึงแขนสามีกลับไปพร้อมกับกวักมือเรียกลูกๆ ของนาง
“คนก็ไม่อยู่แล้วยังจะจับกลุ่มพูดคุยกันไปทำไมก็ไม่รู้”
ลูกชายคนโตของป้าเสวี่ยบ่นไปตามทาง
“อย่ามาทำเป็นพูดดี เมื่อครู่ข้ายังเห็นเจ้าไปยืนฟังพวกเขาพูดคุยกันอยู่เลย”
ลุงเสวี่ยส่ายหัวให้บุตรชายจนเขาต้องยกมือขึ้นมาเกาหัวอย่างเขินอาย
“ข้าก็อยากรู้หนิขอรับว่าเขาพูดคุยเรื่องอันใดกัน”
“ช่างเถอะๆ เข้าบ้านแล้วปิดรั้วให้แน่นๆ ตอนกลางคืนทุกวันนี้ ไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย”
ป้าเสวี่ยหันไปบอกบุตรชายพลางดึงมือบุตรสาวเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว
“เหตุใดเมื่อครู่หมู่บ้านด้านล่างถึงได้มีแสงไฟกันนะ”
จางหลิงเยว่เดินออกมารับลมตรงหน้าต่างแล้วนึกสงสัย ใจที่ปั่นป่วนช่วงมืดก็พลันไม่ยอมสงบเสียที หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องแย่ๆ ที่หุบเขาด้านล่างหรอกนะ
เสียงถอนหายใจของจางหลิงเยว่ดังขึ้นเป็นพักๆ กว่าจะปิดตานอนลงได้ก็ปาไปดึกดื่น
“ท่านแม่เราลงมาถึงตีนเขาแล้วจะไปที่ใดต่อหรือเจ้าคะ”
เสียงเล็กใสของบุตรสาวเอ่ยถามพลางบอกมารดาว่าตนหายเหนื่อยแล้วอยากลงไปเดินด้วยตนเอง
ไปที่บ้านเจ้าของร่างก็ไม่ได้ คงต้องหาที่นอนโรงเตี๊ยมเล็กๆ ในเมืองด้านหน้าไปก่อน
ซูหรานปาดเหงื่อออกจากใบหน้าแล้วเอาผ้ามาโพกหัว
“เสี่ยวเอ๋อลูกแม่ เจ้ามองเห็นทางหรือไม่”
เหยียนซูหรานถามบุตรสาวเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“ข้ามองเห็นชัดแล้วเจ้าค่ะ แสงพระจันทร์ดวงใหญ่มันสว่างมากเลยเจ้าค่ะ”
ซินเอ๋อตอบมารดาไปพร้อมกับเงยหน้ามองพระจันทร์ดวงโตที่ขึ้นเหนือศีรษะ
“ดีแล้ว… เช่นนั้นเราเดินไปอีกหน่อย ทางด้านนั้นเป็นหมู่บ้าน คืนนี้เราจะไปนอนค้างคืนกันที่นั่น”
ซินเอ๋อพยักหน้ารับ แล้วเดินเคียงกันไปกับมารดา