4 ขโมย
ตอนที่ 4 ขโมย
ซูหรานเกิดความข้องใจขึ้นมา เมื่อครานั้นป้าจางก็ไม่เห็นกล่าวอันใด และให้คนงานเก็บยอดอ่อนของใบชาตลอดทั้งวันเสียด้วยซ้ำ
“ครั้งนั้นเป็นชาไม่มีคุณภาพ ครั้งนี้เถ้าแก่เขาอยากได้คุณภาพเต็มเปี่ยม เอาล่ะๆ เจ้ารีบเข้ามาในร่มได้แล้ว”
ป้าจางฟังคำที่ซูหรานกล่าวแล้วเปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทัน เกือบลืมไปแล้วไงว่าครั้งนั้นนางก็มาช่วยเก็บใบชากับคนอื่นๆ ด้วย
หืมมม ใบชาเขามีแบ่งช่วงเวลาเก็บด้วยหรือนี่?
ในสมัยของข้าเขาใช้เครื่องทุ่นแรงตัดใบชากันไปเลย ไม่ว่าใบอ่อน ใบแก่ พอเก็บรวมๆ กันก็เอาไปขายได้อยู่ดี
ซูหรานพึ่งมารู้ว่าใบชาก็มีทั้งชั้นดีกับแบบธรรมดา เพียงเพราะเลือกช่วงเวลาเก็บที่แตกต่างกัน
“ซินเอ๋อเป็นอย่างไรไปให้อาหารสัตว์สนุกหรือไม่”
เมื่อซูหรานเดินเข้ามาใต้ร่มเงาของต้นไม้ สิ่งแรกที่นางทำคือเช็ดมือให้สะอาด ก่อนจะเดินไปหาบุตรสาวที่ยืนอยู่ข้างป้าจางด้วยใบหน้าเบิกบานใจ
“สนุกมากเจ้าค่ะ เจ้าบอ (วัว) ตัวใหญ่มาก ป้าจางบอกว่าอีกไม่นานท่านจะล้มเจ้าบอตัวนั้น แล้วแบ่งส่วนขาให้กับพวกเราด้วยนะเจ้าคะ”
ซินเอ๋อยิ้มหน้าบาน นางดีใจที่จะได้กินเนื้อ
“เจ้าไปพูดอะไรกับป้าจาง ท่านถึงได้ยอมยกเนื้อให้กับเจ้า”
ซูหรานตีแขนบุตรสาวแล้วยีหัวนางอย่างมันเขี้ยว เด็กคนนี้ใช้ความน่ารักของตนเองไปหลอกล่อคนแก่มาหรือเปล่านะ
ซูหรานถึงกับอยากหยิกแก้มน้อยๆ ของบุตรสาว แต่ก็ทำได้แค่ลูบคลำเบาๆ เพราะกลัวนางเจ็บ
ถึงแม้นซูหรานจะไม่ใช่แม่ของซินเอ๋อโดยแท้ แต่นางก็เป็นคนอุ้มท้อง เป็นคนเบ่งคลอดเด็กสาวคนนี้ออกมา นับได้ว่าซินเอ๋อนางก็ไม่ต่างจากลูกแท้ๆ โดยกำเนิด
แต่ถ้าจะไปรังแกลูกคนอื่นมากเกินไปมันก็หาใช่เรื่องดี ซูหรานจึงทำได้แค่อบรมสอนสั่งให้นางเป็นเด็กดีว่าง่าย แม้ว่าความผูกพันในยามนี้จะแน่นแฟ้นจนไม่อยากแยกจากกันแล้วก็ตาม
“เจ้าจะไปโทษนางได้อย่างไร เป็นข้าเองที่อยากขุนนางให้อ้วน เจ้าหน่ะเป็นแม่ประสาอะไร เนื้อสักนิดก็ไม่ให้นางได้กิน”
ป้าจางบ่นให้ซูหราน
ใช่แบบนั้นที่ไหนกันเล่า! ทุกครั้งที่ข้าจับกระต่ายป่าหรือจับปลามาได้ ข้าก็ทำอาหารดีๆ ให้นางออกจะบ่อย เพียงแต่พักหลังๆ มานี้ข้าอยากเก็บเงินให้ได้มากๆ จึงค่อนข้างมัธยัสถ์ไปหน่อยเท่านั้นเอง ซูหรานได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ข้าพูดแล้วว่าจะให้ก็คือให้”
ป้าจางกลัวว่าซูหรานจะพูดดักทางนางเสียก่อนจึงเอ่ยปากกล่าวย้ำอีกครั้ง
“เจ้าค่ะๆ ให้ก็ให้ เช่นนั้นข้าคงต้องทำงานให้หนักขึ้น เพื่อเป็นค่าตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”
ซูหรานอมยิ้มแล้วสบตากับป้าจาง
เด็กคนนี้ไม่ยอมรับของไปง่ายๆ เลยสินะ ป้าจางแอบผ่อนลมหายใจ
ช่างเถอะ อย่างไรเสียข้าก็ไม่ได้หวังสิ่งใด เพียงแค่สงสารที่นางถูกคนบ้านจงกดขี่ก็เท่านั้น
“ได้สิ ในเมื่อเจ้าว่าเช่นนั้นงั้นเจ้าก็ต้องตั้งใจทำงานให้คุ้มกับค่าเนื้อด้วยล่ะ”
ป้าจางเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ
“เย้! ท่านแม่พวกเราจะได้กินเนื้อแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
“ดีใจอะไรขนาดนั้น เมื่อก่อนเจ้าก็เคยกินเนื้อกระต่ายเนื้อปลาแล้วไม่ใช่หรือ แถมมื้อกลางวันเจ้าก็กินเนื้อไปตั้งมาก”
ซูหรานที่ย่อตัวลงใช้หลังมือเขกหัวบุตรสาวเบาๆ อย่างหยอกล้อ
“ก็ข้าอยากให้ท่านแม่กินของอร่อยๆ บ้างหนิเจ้าคะ”
ซินเอ๋อหัวเราะคิกคักด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“หืมมม เจ้าจะหาว่าที่ผ่านมาแม่ทำของไม่ดีให้เจ้ากินหรือไง”
เจ้าเด็กหน้าหวานคนนี้แสบจริงๆ ซูหรานอดไม่ไหวดึงแก้มลูกสาวแรงๆ จนนางร้องเสียงหลง
“ท่านแม่ข้าเจ็บนะเจ้าคะ”
“ซูหรานเจ้าจะตำหนิก็ตำหนิไปสิ มาหยิกแก้มหลานสาวข้าทำไมกัน มาๆ หลานป้าเจ็บมากไหมดูสิแก้มน้อยๆ แดงไปหมดเลย”
ป้าจงย่อตัวลงแล้วดึงซินเอ๋อเข้าไปกอด
ลูกสาวข้ากลายไปเป็นหลานท่านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ซูหรานถึงกับขอบปากกระตุก
“ข้าแค่มันเขี้ยวนางเพียงเท่านั้น ใครบอกให้นางน่ารักขนาดนี้กัน”
ซูหรานหัวเราะออกมาเบาๆ พลางลูบหัวบุตรสาว
“หยอกก็หยอกไปสิ มือไม้อย่าต้อง”
“โถ่ป้าจาง นี่ก็ลูกข้า หากไม่ให้ข้าจับต้องนางแล้วจะให้ข้าทำอย่างไร”
ซูหรานหัวเราะออกมา
“ไม่รู้แหละหากจะจับก็จับนางเบาๆ หน่อย ใบหน้าน้อยๆ ของหลานข้าแดงไปหมดแล้ว โทษเจ้านั่นแหละที่มือหนักเกินไป”
ป้าจางหันไปโอ๋ซินเอ๋อที่น้ำตาคลอเบ้าเพราะเจ็บปวด
“เห้อ ข้าผิดอีกแล้ว! นั่นก็ทำไม่ได้นี่ก็ไม่ดี หรือจะให้ข้ายกนางให้ท่านเลยดีไหมเจ้าคะ”
ซูหรานกล่าวแซวป้าจาง
ได้ยินมาว่าป้าจางผู้นี้ อยากมีลูกสาวมาก แต่เป็นที่น่าเสียดายที่บุตรของนางทั้งสามคนล้วนแต่เป็นชายทั้งสิ้น
“เจ้าห้ามกลับคำนะ”
จางหลิงเยว่ดวงตาเบิกกว้าง แล้วหันไปทางซูหรานกลัวนางคืนคำ
“ไม่เอาๆ ซินเอ๋อจะอยู่กับท่านแม่”
เหยียนซินเอ๋อรีบออกมาจากอ้อมกอดป้าจางแล้วพุ่งเข้าหามารดาทันที
“ข้าคงยกให้ท่านไม่ได้แล้วล่ะเจ้าค่ะ”
ซูหรานหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจ
“เหอะ!! ใครสนกัน ต่อจากนี้นางก็คือหลานสาวของจางหลิงเยว่ จำไว้ด้วยล่ะ”
ป้าจางคว่ำปากใส่ซูหรานแต่ก็ขำพรวดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ซูหรานเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะและยิ้มอ่อน นางเข้าใจว่าป้าจางคงจะเหงาไม่น้อยจึงบอกลูกสาวไปว่า
“เสี่ยวเอ๋อ เด็กดี เจ้าไม่สงสารป้าจางหรือ ท่านอยู่ตัวคนเดียวนานๆ ทีลูกๆ ถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้าน ในช่วงที่ท่านลุงทั้งหลายยังไม่กลับ เจ้าก็เป็นหลานให้ป้าจางสักหน่อย พอให้ท่านได้ชื่นใจดีหรือไม่”
ซูหรานอมยิ้ม แล้วพูดกับลูกสาวที่ทำตาแป๋วมองมาทางนางอยู่
“ก็ได้เจ้าค่ะ แต่ข้าจะนอนกับท่านแม่เหมือนเดิมนะเจ้าคะ”
สาวน้อยรีบต่อรองมารดา
“แน่นอนสิจ๊ะ หากเจ้าไม่นอนกับแม่ แล้วใครจะคอยดูแลแม่ในตอนกลางคืนได้อีก”
“ใช่แล้ว เป็นเพราะเสี่ยวเอ๋อเก่งมาก หากตอนกลางคืนมีขโมย เสี่ยวเอ๋อจะโยนก้อนหินใส่หัวพวกมันให้หมด”
ซินเอ๋อยิ้มแฉ่งหน้าระรื่น
“ขโมยรึ! บ้านเจ้ามีคนบุกรุกหรืออย่างไร?”
ป้าจางย่นหัวคิ้วเข้าหากัน ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าบ้านของซูหรานมีขโมย ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ จางหลิงเยว่เริ่มจะกังวลใจ หวังว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่นางคิดหรอกนะ
“ป้าจาง มันเป็นเพียงเสียงกุกกักตอนดึกเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีอันใดอื่นเลยเจ้าค่ะ”
ซูหรานอมยิ้มแห้งๆ ตอบไป
“ป้าจางเจ้าคะ มันไม่ใช่เสียงกุกกักเสียหน่อย แต่เป็นเสียงเคาะประตูบ้าน ยิ่งพักหลังๆ ยิ่งดังแทบทุกคืน แต่ท่านแม่บอกว่าอย่าไปสนใจมันเป็นเพียงเสียงลมพัดบานประตูก็เท่านั้น”
ซินเอ๋อรีบตอบแย้งไป
“ซินเอ๋อเด็กดี ไหนเจ้าบอกป้าหน่อยซิว่าเป็นแบบนี้มานานหรือยัง”
ป้าจางถลึงตาใส่ซูหราน เพื่อไม่ให้นางพูดต่อ
“เสี่ยวเอ๋อเราไปเก็บใบชากันเถอะนะ ยิ่งเราเก็บใบชาได้เยอะ เราก็จะมีเงินเยอะขึ้นเรื่อยๆ”
‘และยังจะได้ออกไปจากที่แห่งนี้เร็วๆ’ ซูหรานดึงมือบุตรสาวให้เดินไปที่แปลงชาด้วยกัน
จางหลิงเยว่ยืนเท้าสะเอวมองสองแม่ลูกพร้อมกับส่ายหัว
“เกิดเรื่องขึ้นขนาดนี้แล้ว! นางยังจะเงียบได้อยู่อีก! หากเสี่ยวเอ๋อไม่พูด ข้าก็คงจะไม่รู้อะไรเลย”
จางหลิงเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจว่า เย็นนี้ต้องรั้งสองแม่ลูกให้นอนเป็นเพื่อนตนให้จงได้
“เสี่ยวเอ๋อทีหลังลูกไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วนะ เดี๋ยวคนในหมู่บ้านจะพากันกลัวเอารู้ไหม”
“บอกป้าจางก็ไม่ได้หรือเจ้าคะ”
เหยียนซูหรานส่ายหน้าแล้วจ้องตาบุตรสาวแทนคำตอบ
“ก็ได้เจ้าค่ะ เสี่ยวเอ๋อจะไม่พูดอีก”
เหยียนซินเอ๋อเบะปาก ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานช่วยมารดาโดยไม่ปริปากบ่น