แม่ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
เด็กสองคนมองหน้าแม่อย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก วันนี้แม่ถึงขั้นพูดแบบนั้นกับยายและลุงใหญ่ไปแบบนั้น อิ้นผิงไม่คิดมาก่อนว่าวันนี้จะมาถึง วันที่แม่คิดได้และไม่ให้อะไรที่สำคัญจากบ้านเราไปแก่บ้านยายอีก
หยูเจี้ยนถอนหายใจออกหลังจากที่คนพวกนั้นกลับไปได้เสียที หลังจากนี้อย่าหวังว่าจะมาเอาเปรียบอะไรเธอได้อีก หยูถังเป็นแค่หลาน มันไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็นที่หยูเจี้ยนจะต้องรับผิดชอบชีวิตเด็กที่รังแต่เอาเปรียบลูกชายเธอมาโดยตลอด ครั้งนี้มันจะไม่เป็นอย่างนั้น อย่างไรก็แล้วแต่ อิ้นผิงกับอิ้นเหมาจะต้องเติบโตขึ้นเป็นอย่างดีให้สมกับที่พ่อของเจ้าหัวผักกาดทั้งสองตั้งใจไปเสี่ยงชีวิตเพื่อลูกๆ ของเขา
ความทรงจำที่รางเลือนของร่างเดิม พอจะทำให้หยูเจี้ยนพอที่จะนึกถึงใบหน้าของสามีร่างเดิมออกบ้าง แต่ในความทรงจำนั่นมันไม่ได้ชัดเจนมากเท่าไหร่ คงเป็นเพราะในแต่ละปีทั้งครอบครัวได้เจออิ้นหยวนได้น้อยมาก แต่หยูเจี้ยนพอที่จะดูออกว่าสามีของร่างเดิมต้องเป็นผู้ชายที่ไม่เลว ไม่อย่างนั้นร่างเดิมไม่มีทางที่จะใช้จ่ายอย่างสุขสบายขนาดนี้ ถ้าไม่นับการเอาเงินส่วนใหญ่เข้าบ้านเดิม ถือว่าร่างเดิมเป็นผู้หญิงในหมู่บ้านที่มีกำลังในการซื้อมากคนหนึ่ง
หลังจากที่ไปรับเงินรอบนี้ หยูเจี้ยนมีความคิดที่จะเอาเงินที่สามีให้มา มาใช้จ่ายเป็นค่าเรียนสำหรับอิ้นผิง เพราะอายุของลูกสาวถึงวัยที่ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว นอกจากต้องจ่ายค่าหนังสือ เสื้อผ้าที่ดีสำหรับสวมใส่ไปโรงเรียนก็มีอยู่แล้ว
"แม่ทำแบบนั้นกับลุงใหญ่จะดีหรือคะ"
อิ้นผิงรวบรวมความกล้าในการเอ่ยถามแม่อย่างสั่นกลัว หยูเจี้ยนมองใบหน้าลูกสาวที่เหมือนจะรวบรวมความกล้าสุดชีวิตในการตั้งคำถาม เหมือนว่าเธอมีอะไรที่ต้องปรับเปลี่ยนในครอบครัวมากกว่านี้ ความสัมพันธ์แม่ลูกระหว่างเธอย่ำแย่มากเกินไป
"ทำไมจะไม่ดี และต่อจากนี้ไม่ต้องกลัวอะไรแม่ขนาดนั้น แม่คิดว่าเรื่องนี้เราควรปรับความเข้าใจกัน"
นั่นยิ่งทำให้เด็กหญิงมึนงงมากเข้าไปอีก แต่ก็สงบเพื่อรอให้คนเป็นแม่อธิบายบางอย่างออกมาอย่างตั้งใจ อาเหมาเองก็รอฟังในสิ่งที่แม่ต้องการพูดเหมือนกัน อย่างไรแล้วการเชื่อฟังคำสั่งของแม่เป็นสิ่งที่เด็กๆ ปฏิบัติตามกันอย่างคุ้นชิน
หยูเจี้ยนอดที่จะชื่นชมเด็กๆ ในใจเล็กน้อยไม่ได้ แต่อย่างไรในตอนนี้เธอยังคงต้องมีใบหน้าที่จริงจังเพื่อที่จะได้พูดเรื่องสำคัญที่ต้องเข้าใจตรงกันอย่างเร่งรีบ จะปล่อยให้เด็กๆ เป็นแบบนี้ไปอีกนานไม่ได้ ไหนๆ ก็ต้องเป็นแม่ของเด็กสองคนนี้อย่างเลือกไม่ได้ และเธอก็ไม่ใช่คนใจดำเหมือนร่างเดิม ต่อจากนี้ความเป็นอยู่ของเด็กๆ จะดีขึ้นกว่านี้
"ต่อจากนี้แม่จะหันกลับมาสนใจพวกลูก ที่ผ่านมาแม่ไม่รู้ว่ามันเลวร้ายมากขนาดไหนสำหรับพวกเธอสองคน แต่หลังจากนี้ทั้งอาผิงและอาเหมาจะได้กินอิ่มนอนอุ่น และได้รับการศึกษาเหมือนกับเด็กบ้านอื่น หลังจากแม่พูดจบแล้วถ้าใครมีคำถามอะไรก็ถามออกมาได้ แม่สัญญาว่าจะมีเหตุผล และพยายามไม่ใช้ความรุนแรงอีกต่อไป"
เด็กๆ กำลังตกตะลึงอยู่ แม่กำลังจะให้พวกเขาเข้าโรงเรียนจริงๆ อย่างนั้นหรือ ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นความจริง พวกเธอพี่น้องจะเชื่อฟังในคำที่แม่สั่งสอนทุกอย่าง
"แม่จะให้พวกเราไปโรงเรียนจริงหรือคะ แต่ไหนก่อนหน้านี้แม่บอกว่าการเข้าโรงเรียนมันสิ้นเปลือง"
หยูเจี้ยนรู้แล้วว่าเรื่องนี้เด็กๆ คงมีข้อกังขาอยู่ ในอดีตร่างเดิมมักจะพูดกับเด็กๆ อยู่บ่อยครั้งว่าพวกเขาเป็นพวกที่ไร้ประโยชน์ จนทุกวันนี้อาผิงกับอาเหมาก็เชื่อแบบนั้นมาตลอด สภาพจิตใจที่ได้รับการกระทบของเด็กๆ ค่อนข้างรุนแรงกว่าที่หยูเจี้ยนคิดเอาไว้ กว่าจะรักษาความรู้สึกแย่ๆ ที่เคยเกิดขึ้นได้ ไม่แน่ใจว่ามันต้องใช้เวลามากเท่าไหร่
"ตอนนี้แม่เปลี่ยนใจแล้ว จะให้โอกาสแม่คนนี้ทำหน้าที่แม่ให้พวกเธอสองคนได้หรือเปล่า แม่สัญญาว่าจะทำมันให้ดีที่สุด"
"ได้สิครับ เนอะพี่ผิงผิง "
"ชะ ใช่ค่ะแม่ เรื่องนั้นมันได้อยู่แล้ว เมื่อไหร่ที่แม่เป็นแม่ของพวกเรา พวกเราจะเชื่อฟังแม่อย่างเคร่งครัด"
ทุกๆ อย่างมันต้องค่อยเป็นค่อยไปจริงๆ หลังจากที่เข้าห้องนอนไปจัดเก็บที่นอนเก่าใส่กระดิ่ง หยูเจี้ยนก็เรียกเด็กๆ เข้ามาในห้องนอนของเธอ
อาผิงกับอาเหมายังคงก้มหน้ามองพื้นเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน จนกระทั่งคนเป็นแม่เรียกให้เงยหน้าขึ้นมา พวกเขาถึงกล้าทำตามคำสั่ง หยูเจี้ยนไม่ชอบที่ลูกเป็นแบบนี้เลย แต่เธอเชื่อว่าระยะเวลาที่ผ่านไปเท่านั้น ที่จะทำให้เด็กๆ มีสภาพจิตใจและเชื่อใจคนเป็นแม่มากขึ้นกว่านี้
"เสื้อผ้าของอาผิงห้าชุด ส่วนของอาเหมาก็มีห้าชุด เอาชุดเก่าพวกนั้นทิ้งไปได้เลย มารับไปสิ"
"ค่ะ"
"ครับ"
เด็กๆ มองชุดใหม่ที่มากถึงคนละห้าชุด ด้วยแววตาที่ตื่นเต้นและแพรวระยับ เสื้อผ้าห้าชุด แถมแต่ละชุดเป็นชุดที่สวมใส่และออกมาดูดีทั้งนั้น เชื่อเถอะว่าถ้าหยูถังเห็นเข้าหยุดไม่ได้ที่จะอิจฉาแน่ๆ
"แม่ครับทั้งหมดนี่เป็นของอาเหมาจริงๆ หรือครับ"
"แน่นอน หลังจากมันคับแน่นก็บอกแม่ เป็นปกติที่ลูกจะโตเร็วจนเสื้อผ้าตัวเล็กลง หลังจากนี้ถ้าเกิดปัญหาอะไรอย่าลังเลที่จะบอกแม่ เข้าใจหรือเปล่า"
"ค่ะแม่"
"ครับแม่"
เด็กๆ ตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน อีกอย่างคนเป็นแม่เชื่อมั่นว่าพวกเด็กๆ จะไม่มีทางกล้าขัดคำสั่งคนเป็นแม่อย่างแน่นอน เมื่อจัดการเรื่องเด็กๆ เรียบร้อย ปล่อยให้พวกเขาเล่นบริเวณบ้าน ส่วนตนเองก็เตรียมตัวทำความสะอาดห้องครัว หลังจากที่สำรวจเหมือนว่าวันนี้เธอจะต้องออกไปซื้อพวกข้าวและเครื่องปรุงเพิ่มอีก สหกรณ์หมู่บ้านน่าจะมีของที่ต้องการจนเพียงพอ หยูเจี้ยนคงไม่เกิดขยันเดินเข้าไปในเมืองเป็นระยะเวลาสองชั่วโมงหรอก แบบนั้นมันค่อนข้างหนักมากเกินไป
คราบสีดำที่ผ่านการกระเด็นจากการทำอาหาร หยูเจี้ยนถูสิ่งสกปรกออกอย่างยากลำบาก แต่อย่างไรก็ต้องขัดสิ่งสกปรกพวกนี้ออกไปให้หมด ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สงบสุขกับการทำอาหารมากเท่าไหร่นัก
"แม่คะ มีอะไรให้หนูพอจะช่วยได้หรือเปล่า"
เพราะอิ้นผิงไม่คุ้นชินกับการเล่นตามวัย เธอมักจะถูกใช้งานมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นตอนนี้สิ่งที่เธอคิดก็คือการช่วยเหลืองานอะไรบางอย่างแก่แม่ ไม่ใช่การวิ่งเล่นแบบไม่มีประโยชน์
"ลูกไปดูแลอาเหมาดีกว่า อีกอย่างน้องยังเด็กมาก ปล่อยให้คลาดสายตาคงไม่ดีเท่าไหร่"
เพราะว่าอิ้นผิงเป็นพี่สาวที่รักน้องชายมาก เมื่อได้ยินแม่พูดแบบนั้น เธอรีบวิ่งกลับไปดูน้องชายที่นั่งเล่นดินบริเวณบ้านอย่างสนุกสนาน คนเป็นพี่โล่งใจเล็กน้อยที่น้องชายไม่เล่นอะไรที่เป็นอันตรายอะไร
หยูเจี้ยนรีบทำความสะอาดอย่างเร่งรีบ อย่างไรแล้วเธอต้องเผื่อเวลาสำหรับการไปซื้อของที่สหกรณ์ และต้องกลับมาทำอาหารเย็นอีกครั้ง ช่วงนี้อาจไม่ได้กินอาหารครบสามมื้อ แต่ช่วงนี้กินสองมื้อก็ถือว่าเป็นปริมาณที่พอดี
เพราะเธอและเด็กๆ ไม่ได้ทำงานอะไรที่ต้องใช้พลังงานมากเกินไป แค่สองมื้อก็ทำให้พวกเขาใช้พลังงานได้อย่างล้นเปี่ยมแล้วในหนึ่งวัน
หยูเจี้ยนพาเด็กๆ เดินไปสหกรณ์ด้วย เธอคงไม่กล้าทิ้งพวกเขาไว้ตามลำพังเหมือนที่ร่างเดิมกล้าที่จะทำหรอก เด็กก็คือเด็ก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาจะมีความสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขนาดไหนกันเชียว
"แม่จะไปซื้ออาหารที่สหกรณ์ พวกลูกต้องไปกับแม่ด้วย"
"แต่จะดีหรือคะ พวกเราอาจทำให้แม่อับอายคนอื่นเอาได้"
"ไม่มีอะไรต้องอายได้นี่ อีกอย่างพวกลูกสองคนก็แค่เด็กเท่านั้น อยู่กันเพียงลำพังมันคงไม่ดีเท่าไหร่ อีกอย่างตอนกลับจะได้ช่วยแม่ถืออาหารกลับมาที่บ้าน"
เมื่อได้ยินว่าการไปครั้งนี้ พวกเขาก็ทำประโยชน์ได้ อิ้นผิงก็ตอบตกลงและเดินไปสหกรณ์หมู่บ้านกับแม่ระหว่างทางเจอกับอิ้นฟาง ลูกสาวของลุงรอง ที่มองอิ้นผิงจากหัวจรดปลายเท้า นั่นอาจเป็นเพราะการแต่งกายของอิ้นผิงที่แตกต่างจากตอนปกติ เพราะการสั่งสอนจากคนเป็นแม่อิ้นฟางถึงมักจะไม่ค่อยชอบอิ้นผิงเท่าไหร่นัก แม่คอยบอกว่าเพราะสามคนนี้เห็นแก่ตัว ถึงทำให้เธอไม่ค่อยได้รับของดีๆ จากอาเล็ก
"พี่อาผิง เหมือนว่าพี่อาฟางจะมองพี่แปลกๆ ผมกังวลว่าเธอจะหาวิธีการกลั่นแกล้งพวกเราเหมือนก่อนหน้านี้อีก"
อิ้นผิงจดจำได้ว่าอิ้นฟางกลั่นแกล้งน้องชายเธอด้วยการเอากิ่งไม้มาดักอิ้นเหมาจนกางเกงขาด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอกับน้องไม่ได้มีเสื้อผ้ามากมายนัก แต่อิ้นฟางกลับหัวเราะอย่างสนุกสนานหลังจากที่กลั่นแกล้งน้องชายเธอได้สำเร็จ
ถึงตอนที่เธอจะจัดการกับอิ้นฟาง คนนิสัยเสีย ป้าสะใภ้รองกลับออกหน้า ทั้งยังโวยวายว่าพวกเธอเป็นเด็กเกเรและต้องการที่จะกลั่นแกล้งลูกสาวของหล่อน ทั้งที่จริงแล้วคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีคืออิ้นฟางต่างหาก
อิ้นผิงจงใจมองอิ้นฟางตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ากลับบ้าง หยูเจี้ยนแอบมองลูกสาวที่ปฏิบัติตามอีกคนอย่างน่าหมั่นไส้ แต่คนเป็นแม่อย่างเธอกลับชอบใจเอาเสียอย่างนั้น แม่เด็กอิ้นฟางคนนั้นนิสัยไม่ดีเหมือนแม่ไม่มีผิด นี่สินะที่เขาเรียกว่าดูนางให้ดูแม่ ต่อไปใครแต่งเด็กคนนั้นเข้าไปเป็นภรรยาคงได้คิดหนักจนไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่นแน่ๆ
อิ้นฟางกำหมัดอย่างอดทน ตอนนี้ตนเองมาเที่ยวเล่นข้างนอกคนเดียว ในเมื่อไม่มีแม่มาช่วยเธอไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยั่วโมโหอีกฝ่ายและเดินจากไป
"รีบไปกันเถอะ แล้วต่อไปนี้พยายามหลีกเลี่ยงอิ้นฟางให้มากที่สุด เด็กคนนั้นถูกอบรมจากแม่ที่มีนิสัยไม่ดี เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะมีนิสัยเหมือนคนเป็นแม่ ทางที่ดีพวกลูกอย่าเข้าใกล้คนแบบนั้นเป็นการดีที่สุด"
เด็กๆ เห็นพ้องกันกับแม่ ว่าป้าสะใภ้รองมีนิสัยเกเรเหมือนอิ้นฟางจริงๆ ด้วย เป็นแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อิ้นฟางจะกลายเด็กที่นิสัยไม่ดีเหมือนแม่ ถ้าเทียบกันแม่ในตอนนี้ แม่ของเธอนิสัยดีกว่าป้าสะใภ้รองคนนั้นเป็นไหนๆ