ทะลุมิติมาเป็นแม่ใจร้ายในยุค70

110.0K · จบแล้ว
มิลิน
42
บท
47.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

หยูเจี้ยนทะลุมิติมาอยู่ในยุค70ยุคที่เรียกได้ว่านรกบนดินดีๆ ยิ่งร่างเดิมเป็นคนที่นิสัยย่ำแย่ขนาดนั้นคิดหรือว่าการดำเนินชีวิตของเธอจะเป็นไปได้ด้วยดี เด็กผอมแห้งสองคนนั้นอีกที่มองเธอด้วยสายตาตื่นกลัว

นิยายแฟนตาซีนิยายจีนโบราณแฟนตาซี จีนโบราณโรแมนติกนิยายย้อนยุคยุค70ยุค80มีลูก

ทะลุมิติมาเป็นแม่ใจร้าย

หยูเจี้ยนไม่คิดว่าห้องนอนของเธอจะร้อนได้มากถึงขนาดนี้ หลังจากที่รู้สึกตัวขึ้นมาก็ต้องแปลกใจกับความชื้นที่แผ่นหลัง นั่นยังไม่รวมถึงกลิ่นอับชื้นจากเสื้อผ้า ไม่จริงเธอไม่ใช่คนที่จะสกปรกได้ถึงขนาดนี้

หลังจากที่ลืมตาขึ้นมา หลังคาแบบนี้แน่นอนว่ามันไม่ใช่ห้องนอนของเธอแน่ๆ หลังจากลาพักร้อนไปหนึ่งเดือน เธอคิดว่าจะใช้ช่วงเวลาแห่งวันหยุดให้คุ้มค่า แต่ก่อนที่จะคิดอะไรได้ เจ้าเด็กที่นั่งกอดเข่ามองเธอทั้งสอง พวกเขาเหมือนกับตื่นกลัวอะไรบางอย่างอยู่ เด็กผู้หญิงที่น่าจะอายุเจ็ดหรือแปดขวบ กับเด็กผู้ชายอีกคนที่น่าจะอายุไม่ถึงห้าขวบ

ปฏิทินเก่าๆ ที่ผนังบ้าน บอกวันเวลาเป็นวันที่11 มิถุนายน ค.ศ.1970 ให้ตายสิที่นี่ที่ไหน ทำไมถึงยังเก็บปฏิทินที่เก่าแบบนั้นเอาไว้ ในยุคนี้ ไม่ใช่ว่ายังคงมีการปฏิวัติขึ้นอยู่หรอกหรือ ข้าวยากหมากแพง หรือแม้แต่การใช้จ่ายเงินซื้อสิ่งของก็ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ

เธอไม่อยากจะคิดว่าตอนนี้เธอทะลุมิติเข้ามา เหมือนนิยายออนไลน์ที่เธอเคยอ่านผ่านตามาในช่วงวันพักผ่อน แต่ความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาเหมือนสายน้ำนั่นทำให้หยูเจี้ยนเข้าใจอะไรมากขึ้น

ร่างนี้ชื่อแซ่เดียวกับเธอ แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับอายุแค่ยี่สิบสี่เท่านั้น แต่ในยุคนี้คนที่อายุยี่สิบสี่ปีนับว่าเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถรับผิดชอบครอบครัวได้แล้ว

อาผิงกับอาเหมา ลูกสาวและลูกชายที่ไม่ได้รับการสนใจจากคนเป็นแม่มากเท่าไหร่นัก ไม่ใช่แค่การไม่สนใจเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับทำร้ายลูกทั้งสองคนทุกครั้งที่รู้สึกไม่พึงพอใจ สามีของร่างเดิมไปเป็นทหารที่กองทัพ ทุกเดือนเขาจะส่งเงินกลับมาจำนวนหนึ่ง แต่ทว่าหยูเจี้ยนกลับไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีเท่าไหร่นัก เธอมักจะแอบเอาเงินที่สามีให้มาไปซื้อของกินสำหรับตัวเองเท่านั้น อีกอย่างกลับส่งเงินพวกนั้นกลับไปให้บ้านเดิม ไม่ได้ใส่ใจว่าลูกชายกับลูกสาวที่น่าสงสารจะมีชีวิตอยู่อย่างไร

ตอนนี้ที่เด็กๆ กำลังตื่นกลัวเพราะว่าอาเหมาดันทำกางเกงขาด ระหว่างที่ไปเดินตามหาไข่ไก่ตามทุ่งนา เพราะที่บ้านไม่มีอาหารที่จะทำให้พวกเขาสองคนพี่น้องจะอิ่มท้องได้ นอกเสียจากผักต้มกับธัญพืชต้ม บางครั้งยังมีก้อนกรวดผสมอยู่ในนั้น ช่างแตกต่างกับลูกของลุงพี่ชายของแม่ เด็กบ้านนั้นกลับได้กินไข่ และได้กินดีอยู่ดี

ได้ข่าวว่าหยูถังกำลังจะได้เข้าเรียนชั้นประถมในภาคเรียนที่จะมาถึง ทั้งๆ ที่เงินพวกนั้นสมควรที่จะเป็นของครอบครัวของอิ้นผิง กับอิ้นเหมา การศึกษาที่ดีแบบนั้นไม่สมควรที่จะเป็นของเด็กบ้านเดิมของแม่เลยสักนิด จะจะมีความไม่ยินยอมอยู่ในจิตใจ แต่เด็กสาวอย่างอิ้นผิงจะสามารถพูดอะไรได้ ถ้าเธออยากอยู่อย่างสงบสุข และไม่ถูกตีจนตายก็ต้องทำตัวให้เงียบเชียบ และเชื่อฟังคนเป็นแม่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

"แม่คะ ตีฉันแทนเถอะค่ะ ที่กางเกงของอาเหมาขาดมันเป็นเพราะฉัน"

หลังจากที่สายตาของหยูเจี้ยนมองกางเกงที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ากางเกงได้อีกต่อไปหรือเปล่า ทำไมร่างเดิมถึงปล่อยให้ลูกอยู่ในสภาพที่เครื่องนุ่งห่ม แย่เอาเสียกว่าเด็กขอทานได้มากถึงขนาดนี้

"แต่พี่ฮะ ผมเป็นคนมันทำขาดเองนะ ไม่เอาสิ เดี๋ยวพี่ก็โดนแม่ตีนะ"

เจ้าน้องชายกระซิบกับพี่สาว แต่เขาไม่รู้บ้างหรือไรว่าเสียงกระซิบเล็กๆ นั่น มันดังจนคนทั้งห้องได้ยิน แววตาตื่นกลัวของพี่สาวฉายออกมาผ่านแววตา อิ้นผิงไม่ได้กลัวว่าแม่จะทำโทษตนเอง แค่กังวลว่าถ้าน้องชายถูกแม่ทำโทษ ร่างกายที่บอบบางและไม่ได้แข็งแรงมากเท่าไหร่ของอาเหมาจะยังรับมันได้อยู่อีกหรือ

"แม่ตีฉันเถอะค่ะ ฉันดูแลน้องไม่ดีเอง"

หยูเจี้ยน ขยับตัวลงจากเตียงเตา แต่ทว่าร่างกายของเด็กทั้งสองคนต่างผวาพร้อมสะดุ้งเล็กน้อย อย่างแรกเลย ไหนๆ เธอก็มาอยู่ที่นี่ และไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ นอกเสียจากดำเนินชีวิตในแต่ละวัน

"จะสะดุ้งกันทำไม ฉันไม่ฆ่าพวกเธอหรอก และไปอาบน้ำล้างเนื้อตัวกันได้แล้ว ไปเล่นอะไรกับสกปรกมอมแมมขนาดนี้"

อาผิงแทบคิดว่าหูฝาดไป เธอคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าแม่ต้องไม่พอใจที่กางเกงของน้องชายฉีกขาด เพราะนั่นหมายความว่าคนเป็นแม่จะต้องเสียเงินเพื่อซื้อกางเกงใหม่ให้น้องชาย ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าคนอย่างแม่จะยอมควักเงินเพื่อจ่ายหรือเปล่า

สองพี่น้องรีบไปอาบน้ำที่บ่อน้ำหลังบ้านอย่างเร่งรีบ เพราะช่วงที่แล้งก่อนหน้านี้ น้ำค่อนข้างที่จะแห้งขอด น้ำที่ตักขึ้นมาได้ ย่อมไม่ได้ใสเหมือนช่วงที่น้ำอุดมสมบูรณ์ ถึงจะอาบน้ำไปแล้วจริงๆ มันช่วยไม่ได้ที่เนื้อตัวก็จะยังคงกลิ่นโคลนกลิ่นดินเอาไว้

หยูเจี้ยนปล่อยให้เด็กๆ อาบน้ำกันไปก่อน เพราะสิ่งที่สำคัญในตอนนี้ก็คือหากางเกงสำหรับเจ้าหัวผักกาดน้อย กางเกงผุขนาดนั้นไม่แปลกที่มันเผลอเกี่ยวกิ่งไม้ก็สามารถขาดเอาเสียได้ง่ายๆ

เสียงกระดิ่งข้อมือที่หยูเจี้ยนจำได้ว่าเธอได้มาจากวัดในปักกิ่งเมื่อหลายเดือนก่อน เธอมองมันด้วยความแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่จะค้นหาเสื้อผ้าในหีบผ้าต่อไป แต่เหมือนว่าเสื้อผ้าส่วนใหญ่และจะเป็นของร่างเดิมเอาเสียมากกว่า ก็บอกแล้วอย่างไรล่ะ ว่าผู้หญิงคนนี้นอกจากเห็นแก่ตัวแล้ว ยังไม่ค่อยฉลาดมากเท่าไหร่นัก คิดได้อย่างไรที่เอาเงินส่วนใหญ่ส่งให้บ้านเดิมแบบนั้น สิ่งที่เธอควรที่จะสนใจมากกว่านั้นก็คือเจ้าหัวผักกาดทั้งสองหน่อนี่ต่างหาก

นอกจากผ้าพวกนั้นแล้ว เจ้าลูกสองคนพี่น้องจะมีเสื้อผ้าชุดอื่นอยู่อีกหรือเปล่านะ หลังจากที่สงสัยได้ไม่นานอาผิงกับอาเหมาก็เข้ามาด้านใน พร้อมกับกลิ่นตุๆ เมื่อครู่เธอเพิ่งจะไล่สองพี่น้องออกไปอาบน้ำมาไม่ใช่หรือ ทำไมพวกเขาถึงเข้ามาพร้อมกลิ่นไม่พึงประสงค์ขนาดนี้

"ทำไมเนื้อตัวของพวกเธอถึงมีกลิ่นแบบนั้น"

คนเป็นพี่สาวลังเลที่จะบอกแม่ออกไปว่า เมื่อฤดูแล้งที่ผ่านมา น้ำในบ่อแห้งขอด และมันเป็นปกติที่มีกลิ่นโคลนแบบนี้ เพราะน้ำที่ตักขึ้นมาก็เป็นน้ำที่สีโคลนผสมอยู่มาก

หยูเจี้ยนรีบวิ่งไปดูน้ำที่ตักขึ้นมาจากบ่อ ในตอนนี้เธอต้องรีบแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้เร็วที่สุด ทั้งที่อีกไม่นานจะเริ่มมีฝนตกลงมาแล้ว แต่อย่างไรถ้าเด็กๆ อาบน้ำและดื่มกินน้ำพวกนี้เข้าไปในร่างกาย มันจะไม่กลายเป็นดื่มกินและอาบสิ่งสกปรกเข้าไป แค่คิดหยูเจี้ยนก็ชวนปวดหัวมากเกินไปแล้ว

เธอจับถังหย่อนลงไปในบ่อน้ำอีกครั้ง พลางบ่นว่าถ้ามีน้ำมากขึ้นและน้ำสะอาดกว่านี้ มันจะดีต่อคุณภาพชีวิตของเธอสามแม่ลูกมากขนาดไหน เสียงกระดิ่งที่ข้อมือสั่นสองสามครั้ง เหมือนว่าสิ่งที่เธอเห็นมันออกจะเหนือธรรมชาติไปเสียสักหน่อย ตาน้ำที่จู่ๆ ผุดขึ้นมาเป็นน้ำใสสะอาด หรือว่ากระดิ่งที่ข้อมือของเธอจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์

เมื่อตักน้ำสะอาดขึ้นมาเติมในถังตอนนี้คงต้องจับเด็กๆ ออกมาล้างตัวใหม่อีกครั้ง เธอคงทนได้กลิ่นโคลนแบบนั้นไปทั้งวันไม่ได้หรอก

"อาเหมา อาผิง ออกมาล้างตัวกันอีกครั้ง"

เพียงได้ยินคำสั่งเด็กๆ แทบวิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ทำเอาคนเป็นแม่ต้องเอ็ดอีกครั้งใหญ่

"จะรีบวิ่งทำไมขนาดนั้น ถ้าเกิดล้มขึ้นมาฉันจะตีซ้ำ"

อาเหมาตัวแข็งทื่อ เมื่อได้ยินว่าถ้าเกิดเขาวิ่งล้มขึ้นมาแม่จะทุบตีซ้ำ สองพี่น้องเดินกันอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น  เมื่อได้ยินเสียงข่มขู่ที่แสนน่ากลัวนั่น

เพราะบ้านของหยูเจี้ยนไม่ได้ห่างไกลกับบ้านของแม่สามีเท่าไหร่ พี่สะใภ้ที่นั่งซักผ้าอยู่หลังบ้านพอที่จะเห็นถึงความผิดปกติของน้องสะใภ้ในวันนี้ ปกติหยูเจี้ยนจะไม่ใส่ใจเด็กๆ มากถึงขนาดนั้นไม่ใช่หรือ

อาผิงยืนมองน้ำที่ใสสะอาดอย่างประหลาดใจ แม่บอกว่าให้เขากับน้องชายอาบน้ำพวกนี้ และน้ำที่ใสสะอาดแบบนี้ พวกเขาจะเก็บเอาไว้ดื่มกินไม่ดีกว่าหรือไง มันน่าเสียดายที่ตอนนี้พวกเธอกำลังผลาญน้ำดื่มที่ใสสะอาดเพียงเพื่อชำระร่างกาย

"อาบน้ำสิ แล้วนอกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่มีเสื้อผ้าชุดอื่นอีกหรือเปล่า"

หยูเจี้ยนถามอิ้นผิงผู้เป็นพี่สาว เพราะเหมือนว่าเรื่องคนนี้ คนเป็นพี่น่าจะรู้มากกว่าน้องชาย

"มีค่ะ ก็เสื้อผ้าที่แม่บอกว่าเก็บไว้ให้พวกเราก็เอาไว้เฉพาะตอนที่พ่อกลับมาบ้านเท่านั้น"

"เอาเสื้อผ้าพวกนั้นออกมาใส่ แล้วก็เสื้อผ้าที่สวมใส่วันนี้ก็ทิ้งไปได้แล้ว"

"อะไรนะคะ ตะๆ แต่นั่นมันคือเสื้อผ้าที่แม่บอกว่าห้ามเอาออกมาสวมใส่นี่คะ"

หยูเจี้ยนรู้สึกสงสารชะตากรรมของเด็กน้องสองคนจริงๆ ร่างเดิมเป็นแม่แบบไหนกัน เหตุใดถึงใจดำกับสายเลือดของตัวเองได้มากถึงขนาดนี้ ทั้งที่พ่อของเด็กๆ ก็มีความรับผิดชอบที่ดีขนาดนั้น มันมีเหตุผลอะไรที่ร่างเดิมจะรังเกียจลูกในไส้ของตัวเองมากถึงขนาดนี้ เธอไม่เข้าใจเหตุผลนั้นเลยจริงๆ

"เอาพวกมันออกมาใช้ หลังจากนี้แม่จะซื้อชุดใหม่ให้พวกเธออีก หลังจากนี้แม่คนนี้จะดูแลพวกเธอสองคนให้ดีมากกว่าเดิม แต่พวกเธอต้องสัญญาว่าจะเชื่อฟังฉัน"

อีกใจหนึ่งก็ดีใจ แต่อีกใจหนึ่งอาผิงก็รู้สึกกังวลใจแปลกๆ ไม่ใช่ว่าที่แม่ทำดีกับพวกเธอสองพี่น้องแบบนี้ เพราะว่าแม่ต้องการที่จะขายเธอกับน้องชายออกไปเหมือนที่ป้าสะใภ้เคยบอกหรอกนะ ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ มันคงเป็นเรื่องที่โหดร้ายที่สุด

เสียงท้องของเด็กร้องออกมาแข่งกันเหมือนกับเพลงประสานเสียง ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองคนต่างรู้สึกหิว แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำว่าหิวออกมา

หยูเจี้ยนหันหลังออกไปเพื่อปล่อยให้เด็กๆ จัดการกับตัวเอง ระหว่างนี้เธอจะไปทำอาหารขึ้นมา เพราะเหมือนว่าตอนนี้ร่างกายของเธอก็รู้สึกหิวขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ร่างเดิมเป็นคนที่หุ่นบางเล็กดีจริงๆ แบบนี้ถึงจะกินเข้าไปมากแค่ไหนก็คงอ้วนได้ยาก