ข้าวไข่เจียว
จากความจำของร่างเดิมแล้ว ในครัวไม่ได้มีอาหารอย่างอื่นนอกจากธัญพืชบดหยาบเพียงไม่กี่กำมือเท่านั้น ในหีบที่เธอหวงนักหนานั่นต่างหาก ถึงจะมีอาหารดีๆ ที่อยู่ในนั้น อย่างไรก็แล้วแต่ร่างเดิมไม่ได้คิดที่จะซื้อข้าวของพวกนั้นมาเผื่อเด็กสองคนนั้น เพราะเธอคิดว่าเด็กพวกนี้ไร้ประโยชน์มากเกินไป
จริงๆ แล้วเด็กๆ พวกนั้นไม่ใช่คนที่ไร้ประโยชน์สักหน่อย เพียงแต่เจ้าของความคิดนั่นแหละที่โง่เง่ามากเกินไป จนเห็นคนอื่นดีกว่าลูกตัวเอง มีแต่คนโง่เง่าเบาปัญญาเหมือนผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่คิดแบบนี้
ในหีบมีไข่ไก่สิบฟองกับข้าวขาวประมาณสองชั่ง มีน้ำตาลแดง น้ำมันและเกลืออยู่ปริมาณหนึ่งเท่านั้น หยูเจี้ยนหยิบเอาข้าวและไข่ออกมาสามใบ แค่หุงข้าวและทอดไข่เจียวก็น่าจะพอแล้ว ในตัวของเธอยังมีเงินกับคูปองอยู่จำนวนหนึ่ง กว่าที่พ่อของเจ้าเด็กทั้งสองจะส่งเงินหยวนมาใหม่น่าจะอีกไม่กี่วันหลังจากนี้แล้วน่าจะยังคงพอใช้ อย่างน้อยทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ยังโชคดีกว่าคนบ้านอื่น ที่ต้องลงทุ่งนาเพื่อแลกแต้มแรงงาน เพราะว่าร่างเดิมเป็นข้อยกเว้น อย่างไรก็แล้วแต่ครอบครัวนายทหารก็ได้รับส่วนแบ่งแต้มแรงงานของนายทหารที่เสียสละไปอยู่แล้ว ไหนจะเงินเดือนที่คนเป็นสามีส่งมาอีกก้อนใหญ่
ถ้าหยูเจี้ยนทำตัวดีๆ นับว่าเธอหรูหรามากที่สุดในบรรดาผู้หญิงในหมู่บ้านแล้ว แต่แน่นอนว่าสิ่งแรกที่หยูเจี้ยนจะต้องปฏิวัติ นั่นก็คือหยุดเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงบ้านเดิมให้ได้เอาเสียที พูดกันถึงความจริงลูกสาวที่แต่งงานออกมาแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกนอกบ้าน ไม่เห็นเลยว่ามันมีความจำเป็นอะไรที่เธอจะต้องรับผิดชอบชีวิตของคนในบ้านมากถึงขนาดนั้น และเพราะเสียงยุยงของพี่ชายและพี่สะใภ้ ถึงทำให้หยูเจี้ยนคนเดิมหมางเมินและใจร้ายกับเด็กๆ ได้มากถึงขนาดนี้
ระหว่างนี้เธอถือข้าวและน้ำมันไข่ไก่และเครื่องปรุงเดินออกไปจากห้อง เด็กๆ ที่อาบน้ำใหม่จนกลิ่นสาบโคลนหายไปแล้ว เดินเข้าบ้านอย่างสงบเสงี่ยม พวกเขามองอาหารที่แม่ถืออยู่ในมือพลางมองลงพื้นและเดินเหมือนลืมหายใจเข้าห้องนอนเล็กไป
หยูเจี้ยนคิดว่าเพียงเวลาแค่วันเดียวเธอคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเด็กๆ ได้รวดเร็วมากถึงขนาดนั้น อย่างไรแล้วในสายตาของพวกเขาตอนนี้เธอก็ยังเป็นแค่แม่ใจร้ายเหมือนเดิม
ข้าวของเครื่องใช้ในครัวค่อนข้างที่จะไม่สะอาดเท่าไหร่นัก เรื่องนั้นเธอรู้เหตุผลดี เพราะว่าร่างเดิมมักใช้แรงงานลูกสาวทำความสะอาดบ้าน และข้าวของเครื่องใช้ และเด็กคนหนึ่งจะสามารถทำความสะอาดได้ดีมากเท่าไหร่กันเชียว หยูเจี้ยนก่อไฟขึ้นมาก่อนที่จะเอาข้าวขาวมาหุง จะมีสักกี่บ้านที่จะได้กินข้าวขาวหุงสวยในช่วงนี้ หลังจากรอจนน้ำแห้งหยูเจี้ยนก็ควบคุมไฟอ่อน ยังดีที่ความจำของร่างเดิมมีความจำเหล่านี้อยู่ อย่างการก่อกองไฟ เพราะถ้าหวังพึ่งเธอ บอกได้เลยว่าวันนี้คงได้อดตายแน่ๆ
ไม่นานข้าวขาวที่เรียงเมล็ดสวยก็สุกเป็นที่เรียบร้อย เพราะร่างกายของเด็กๆ ไม่ได้รับสารอาหารมานาน และตอนนี้พวกเขากำลังรู้สึกหิวอย่างถึงที่สุด กลิ่นข้าวหอมๆ ที่ลอยโชยออกมาจากห้องครัว มันอดไม่ได้ที่จะทำให้อาเหมาน้องชายคนเล็กต้องแอบกลืนน้ำลายลงคอ
"แม่ทำอาหารหรือครับ"
"น่าจะเป็นแบบนั้น แต่พี่คิดว่าน่าจะไม่มีส่วนของเราอยู่ในนั้น อาเหมาก็รู้ดีนี่ว่าแม่เป็นคนแบบไหน เอาเถอะเอาไว้หลังจากที่แม่นอนกลางวันอีกครั้ง พี่จะออกไปขออาหารจากป้าสะใภ้ใหญ่"
"แต่พี่ไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นอีกหรือครับ ครั้งก่อนแม่ก็ไปโวยวายป้าสะใภ้ใหญ่แล้วครั้งหนึ่ง ป้าสะใภ้ใหญ่ดีกับเรามาก เพราะอย่างนั้นเราอย่าหาปัญญาให้กับเธอเลยครับ"
อิ้นผิงลูบศีรษะน้องชายอย่างเอ็นดู แต่อย่างไรแล้ววันนี้ถ้าพวกเธอสองพี่น้องไม่ได้ทานอาหาร ไม่ใช่ว่าร่างกายทั้งสองจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงหรอกหรือ
หลังจากทอดไข่เจียวสามฟองเสร็จเป็นสิ่งสุดท้าย ตอนนี้ก็น่าจะเริ่มกินข้าวได้เสียที หยูเจี้ยนเดินไปที่ห้องนอนเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าห้องนอนได้หรือเปล่า เพราะว่ามันทั้งแคบและอับชื้นกว่าห้องนอนของเธอมากทีเดียว เด็กๆ สองคนนี้เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้แตกต่างจากการเติบโตมาจากถังขยะ หยูเจี้ยนคนเดิมเห็นทีว่าตายไปได้ก็ไม่น่าจะมีใครคิดเสียใจแล้ว
หลังจากเปิดประตูเล็กๆ ออก เด็กๆ ตื่นกลัว เพราะปกติแล้ว ถ้าแม่มาหาพวกเขาถึงห้อง แน่นอนว่านั่นหมายถึงการดุด่า หรือไม่ก็ต้องมีการลงโทษเกิดขึ้น
"ออกไปกินข้าว"
"อะไรนะคะ"
"ออกไปกินข้าว หรือว่าจะหิ้วท้องไปขออาหารบ้านย่าของพวกเธอให้ฉันต้องอับอายอีก และต่อไปนี้ห้ามไปขออาหารจากคนอื่น ยกเว้นฉัน"
อิ้นผิงไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นเป็นความจริง แม่ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนี้แน่นอน แต่ตอนนี้คงทำได้แค่สะกิดน้องชายให้ลุกไปที่โต๊ะทานอาหารด้านนอกอย่างเชื่อฟัง พวกเขาพยายามทำตัวให้เล็กที่สุด ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับคนเป็นแม่พวกเขาพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้เผลอหายใจแรงไป
"นั่งลง เดี๋ยวเอาข้าวมาให้"
แม่สั่งคำสั่งพวกเขาทั้งสองคนรับปากพร้อมกันเสียงดัง คล้ายกลัวว่าถ้าพูดเบาเกินไป จะทำให้คนเป็นแม่ขุ่นเคืองเอาอีกได้ แม่เดินออกมาอีกครั้ง พร้อมกับข้าวขาวหุงสวยสองชามพูน แม่วางไว้ตรงหน้าของอาผิง และอาเหมาคนละชาม พวกเขายังไม่กล้าแตะต้องมันจนกว่าแม่จะกินมันก่อน
แม่ออกมาอีกครั้งพร้อมกับชามข้าว และนั่นน่าจะเป็นไข่ไก่ที่แม่ถือออกมาจากห้องก่อนหน้านี้ แม่คงไม่ได้ทำเผื่อพวกเขาสองพี่น้องหรอก เพราะว่าเรื่องราวมันเป็นแบบนั้นจนคุ้นชินแล้ว
หลังจากหยูเจี้ยนนั่งลง เธอคิดเอาไว้แล้วว่าเด็กๆ คงไม่มีใครกล้าคีบไข่เจียวในจาน เธอนั่งลงก่อนที่จะแบ่งไข่เจียวในจานเป็นสามส่วน ก่อนที่จะคีบใส่ชามของอาผิงและอาเหมาคนละหนึ่งส่วนเท่าๆ กัน ก่อนที่จะคีบส่วนที่เหลือใส่ชามของตัวเอง
"เอาล่ะ ถ้าใครกินไม่หมด แม่จะทำโทษ ครั้งนี้ฉันพูดจริงด้วย"
"ค่ะแม่"
"ครับแม่"
ไม่รู้ ว่าทำไมตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองคนถึงอยากทำตามคำสั่งแม่อย่างไม่บิดเบี้ยว รสชาติข้าวขาวเรียงเมล็ดกับไข่เจียวหอมๆ ร้อนๆ แบบนี้มันรสชาติดีเอาเสียจริง แม้ร่างกายจะมีความหิวมากก็จริง แต่เด็กก็คือเด็กข้าวพูนชามขนาดนั้นก็ทำให้พวกเขาอิ่มจนจุกแล้ว
"นั่นจะไปไหนอาผิง"
"จะเอาชามไปล้างค่ะ"
"ไม่ต้อง และต่อไปนี้ไม่ต้องล้างชามหรือว่าอะไรอีกแล้ว"
"ทะ ทำไมหรือคะ"
"เธอทำมันไม่ดีเท่าแม่หรอกนะ เอาไว้โตกว่านี้ แม่จะขอให้เธอช่วยแม่ก็แล้วกัน แค่ช่วยยกชามไปเก็บเอาไว้ในครัวก็พอแล้ว หลังจากนั้นก็ไปช่วยกันเก็บห้องนอน หลังจากที่แม่ล้างชามเรียบร้อยแล้ว จะเข้าไปช่วย"
"ค่ะแม่ ไปเถอะอาเหมา"
เด็กชายวัยสี่ขวบครึ่ง เดินตามพี่สาวไปอย่างเร่งรีบ พวกเขายินดีทำตามคำสั่งแม่ทุกอย่าง ตอนนี้พวกเขารู้สึกอิ่มท้องและมีพลังงานมากขึ้นในการทำอะไร
หยูเจี้ยนล้างชามอย่างเร่งรีบ ก่อนที่จะเอาน้ำกับผ้าเก่าๆ ตามเด็กๆ ไปที่ห้องนอน เด็กๆ ช่วยกันเก็บกวาดพื้น แต่อย่างที่รู้ เด็กๆ มีหรือที่จะทำอะไรได้เหมือนผู้ใหญ่
คนเป็นแม่รีบเก็บเอาที่นอนเก่าๆ พาดหน้าต่าง ก่อนที่จะจัดการกวาดพื้นเอาเศษฝุ่นออก หลังจากที่เห็นว่าในห้องไม่มีเศษฝุ่นหรือขยะ ก็จัดการเอาผ้าชุบน้ำและเช็ดถูกพื้น และตามผนังที่มีฝุ่นเกาะอยู่ พรุ่งนี้คิดว่าจะต้องเอาพวกผ้าห่มกับที่นอนไปซัก อย่างไรแล้วตอนนี้ครอบครัวของเธอก็มีน้ำสะอาดที่มากพอ
หลังจากถูเสร็จเรียบร้อย ห้องที่เคยมีกลิ่นอับชื้นก็โปร่งโล่งสบายมากขึ้น ต่อไปก็เป็นห้องนอนของหยูเจี้ยนสินะ ที่นั่นก็อับชื้นไม่ได้แตกต่างจากห้องของเด็กๆ เธอแอบไปทำความสะอาดในห้องนอนคนเดียว เพราะไม่อยากให้เด็กๆ เหนื่อยมากจนเกินไป
ทางฝั่งบ้านแม่สามีที่ตอนนี้กำลังพูดถึงเธอและเด็กๆ อยู่
"แม่สามีฉันเห็นจริงๆ นะคะ วันนี้น้องสะใภ้ดูแปลกไปมาก ถึงกับจัดการเรื่องอาบน้ำให้เด็กๆ"
"โอ้ยพี่สะใภ้ใหญ่คะ แม่นั่นอาจไม่ได้ทำแบบนั้นก็ได้ค่ะ"
น้องสะใภ้รองขัดขึ้นมาอย่างกับว่านั่นเป็นเรื่องตลกขบขันเอาเสียเต็มประดา ถ้าคนอย่างหยูเจี้ยนลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวตน เธอคิดว่าพระอาทิตย์คงได้โผล่ขึ้นทางทิศตะวันตกอย่างแน่นอนแล้วล่ะ
"เงียบไปก่อนสะใภ้รอง เธอไม่ควรพูดขัดแบบนี้ มันเสียมารยาท"
หลังจากที่แม่สามีดุไปเล็กน้อย คนที่เป็นสะใภ้รองก็ปิดปากฉับลงไปในทันที อย่างไรแล้วคนที่ควรเกรงใจหลายส่วนก็คือแม่สามี เพราะอย่างนั้นเธอไม่ควรยั่วยุอารมณ์ของแม่สามีคนนี้ แม้ว่าจะเป็นคนที่มีเหตุผล แต่ตอนที่คุกรุ่นขึ้นมาก็น่ากังวลทีเดียว
"หยูเจี้ยนน่ะหรือที่จะใส่ใจลูก เห็นทีว่าเรื่องนี้ฉันคิดว่าสะใภ้ใหญ่คงตาฝาดไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นคงต้องโง่ไปอีกนาน จนตายลงไปไม่รู้ว่าจะสำนึกหรือเปล่าว่าคนที่ควรที่จะสนใจนั่นคือเด็กสองคนนั้น ในครัวมีแป้งจี่เหลืออยู่อีกหลายแผ่น ถ้าเด็กๆ มาที่นี่ก็เอาแป้งจี่ให้สองคนนั้นด้วยล่ะ"
"แต่แม่คะ แป้งจี่นั่นอิ้นฟางจะต้องเก็บไว้กินพรุ่งนี้เช้านะคะ"
สะใภ้รองเป็นคนที่คัดค้านขึ้นมา เด็กพวกนั้นแยกบ้านออกไปจากบ้านใหญ่นานแล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะเอาของอะไรจากบ้านใหญ่ออกไปให้ แบบนั้นไม่ได้เรียกว่าเป็นการเอาเปรียบหรือ ในเมื่อทุกเดือนน้องชายสามีก็ส่งเงินมาครั้งละไม่รู้ตั้งกี่สิบหยวน เธอไม่ชอบเด็กสองคนนั้นเอาเสียมากๆ โดยเฉพาะอิ้นผิงพี่สาวของเจ้าเด็กอิ้นเหมา อย่างไรแล้วคนที่แม่สามีต้องเอ็นดูมากที่สุดก็คืออิ้นฟางลูกสาวของเธอ
"นี่คือคำสั่งของฉันนะหลินซี อีกอย่างเธอไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็น"
สะใภ้รองได้แต่กำหมัดอย่างทำอะไรไม่ได้