จวนเหมยฮัว : [1]
"อืม"
เสียงครางแผ่วเบาของจินเยว่บ่งบอกว่าบัดนี้นางได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
"เจ้าตื่นแล้ว" ชิงหรงรีบเข้าไปประคองสหายสนิทให้ลุกขึ้นนั่ง
"ที่นี่ที่ไหน"
ดวงตาราวกวางน้อยกวาดมองรอบห้องที่ไม่คุ้นตา อันที่จริง แทบจะทุกพื้นที่ในดินแดนนี้ที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
"จวนท่านอ๋อง"
"ท่านอ๋อง... อ๊ะ! นี่ข้าออกมาจากคุกได้แล้ว"
เมื่อจำเรื่องราวก่อนหน้าได้หลันจินเยว่รีบกระโดดลงจากเตียงวิ่งรอบห้องสี่เหลี่ยมราวนกน้อยที่ได้ออกจากกรงสักที
อู่ชิงหรงมองสหายในวัยเด็กด้วยความครางแครงใจกับบุคลิกที่เปลี่ยนไปของนาง ทว่าก็แค่เปลี่ยนนิดหน่อย อย่างไรเสียเขาก็มองเห็นคนตรงหน้าเป็นเฟิ่งเยว่ซินอยู่ดี
"เสี่ยวโหรวล่ะ" ข้ามมาภพนี้ หลันจินเยว่คงมีเพียงแค่เสี่ยวโหรวผู้เดียวที่นางสนิทสนมที่สุด
"คุณหนูฟื้นแล้ว"
สาวใช้ที่เดินวนแล้ววนอีกรอคุณหนูฟื้นรีบวิ่งเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงเรียก
"ดีใจจังที่เจ้าก็ได้ออกมาด้วย"
ทั้งสองนางโผเข้ากอดกันเหมือนไม่ได้เจอกันมานาน
"ถ้าไม่ได้ท่านอ๋องและท่านรองแม่ทัพข้าคงยังคงอยู่ในคุกอันมืดอับนั้น"
พูดแล้วเหมือนเกิดใหม่ หลายวันมานี้ได้แต่หายใจเอาอากาศอันอับชื้นในคุกเข้าปอด พอได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์แล้วค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมา
"แล้วท่านอ๋องที่ว่าอยู่ที่ไหนหรือ"
เดิมที่จินเยว่เป็นคนดีรู้จักบุญคุณคนอยู่แล้ว ต่อให้ตอนนี้นางจะอยู่ในร่างผู้อื่นก็ใช่ว่าจะลืมนิสัยตนเอง
"ท่านอ๋องทรงยุ่งเรื่องทหารอยู่ พวกเจ้าพักผ่อนที่นี่อย่างสบายใจเถอะ ส่วนเรื่องอื่นค่อยปรึกษาหาทางออกกัน"
อู่ชิงหรงมองสหายวัยเยาว์ด้วยความสงสารแกมเวทนาในโชคชะตาของนาง
ใครจะคิดเพียงแค่ชั่วข้ามคืนที่เขาไม่อยู่เพราะไปออกศึกที่ชายแดน ครั้นกลับมาจะได้ข่าวเกี่ยวกับตระกูลสหายสนิทที่เข้านอกออกในตั้งแต่เด็กบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะข้อหากบฎแผ่นดินยักยอกเงินในคลังส่งให้ข้าศึก
ทว่างานนี้คงมิใช่เรื่องจริงเพราะเขารู้นิสัยใจคอบิดาของเฟิงเยว่ซินดีว่าเป็นคนจิตใจใฝ่ดีและตรงไปตรงมา เรื่องนี้เขาต้องสืบสาวหาความจริงเพื่อล้างมลทินให้บิดาของสหายสนิทให้ได้
"หาทางออก นี่ข้าออกจากคุกแล้วยังมีโอกาสได้กลับเข้าไปอีกเหรอ"
ทำไมชะตาเจ้าช่างโชคร้ายเกินไปแล้วนะเฟิงเยว่ซิน
หวังว่าการมาเกิดใหม่ที่นี่จะอยู่รอดปลอดภัยไม่หนีสือปะจระเข้ตายซ้ำอีกหนหรอกนะ!
"เจ้าไม่ต้องกังวลไป เชื่อใจข้า ข้าจะช่วยคืนความเป็นธรรมให้ท่านเจ้ากรมการคลังและตระกูลเจ้าเอง" ชิงหรงให้คำมั่นอย่างหนักแน่น
ชายผู้นี้มองดูแล้วรูปร่างสูงใหญ่น่าแกรงขามทว่าไม่ได้น่ากลัว กลับกันดูเป็นผู้ชายที่หากอยู่โลกของหลันจินเยว่คงเป็นที่ต้องการของเพศตรงข้ามจนเรียกว่าฮอตสุด ๆ
"ข้าเชื่อใจท่านได้ใช่ไหม"
อย่างน้อยการลืมตาแล้วมาโผล่ที่แห่งนี้ได้เจอคนที่เป็นมิตรด้วยก็ถือว่ายังพอมีแต้มบุญอยู่บ้าง
"เจ้าถามเหมือนไม่รู้จักนิสัยข้า"
อู่ชิงหรงจ้องลึกเข้าไปนัยน์ตาสหายรัก เขาอยากรู้ว่าเพียงเพราะการจากไปของบิดาอย่างกะทันหันเรื่องเดียวจริงหรือที่ทำให้นางจำเขาไม่ได้เช่นนี้
"อ...โอ้ย!"
"คุณหนูเป็นอะไรเจ้าคะ"
"ซินเอ๋อร์!"
"ข...ข้า ข้าปวดหัวอีกแล้ว เสี่ยวโหรวเจ้าช่วยพยุงข้าไปที่เตียงที"
งานนี้คงต้องมารยาเสียแล้วละ ก็ดูสิ อู่ชิงหรงจ้องเหมือนจะจับผิดนางขนาดนี้
"ให้ข้าตามหมอให้ไหม"
"ไม่ต้อง!"
"เจ้าดีขึ้นแล้ว?"
"โอ๊ย! ข้ายังปวดหัวอยู่เลย แต่ไม่ต้องตามหมอหรอก นอนพักสักหน่อยน่าจะดีขึ้น"
หลันจินเยว่ทำหน้าเหยเกยกมือกุมขมับเพื่อให้สมบทบาทคนปวดหัว
"งั้นเจ้าพักผ่อนต่อเถอะข้าไม่กวนแล้ว หิวไหมเดี๋ยวให้พ่อครัวทำอะไรให้เจ้ากิน"
"ไม่เป็นไร ขอบใจเจ้ามาก"
หลันจินเยว่แกล้งหลับตาลงเพื่อให้สมกับละครที่นางเล่น
"เสี่ยวโหรว ข้าถามอะไรเจ้าหน่อยสิ"
คล้อยหลังอู่ชิงหรง คนที่บอกว่าปวดหัวอยากพักผ่อนกลับลุกขึ้นนั่งเหมือนคนปกติไม่เจ็บไม่ปวดอันใด
"คุณหนูหายปวดหัวแล้วรึเจ้าคะ" เสี่ยวโหรวมองตั้งแต่หัวจดเท้าคนตรงหน้าอย่างพินิจวิเคราะห์
"หายแล้ว ๆ เจ้าอย่าสนใจเรื่องนั้นเลย"
แม้ในใจอยากจะถามอีกสักหน่อยให้มั่นใจ แต่เพราะแววตาคุณหนูนางจริงจังยิ่งนักเสี่ยวโหรวจึงไม่ไตร่ถามอันใดต่อ
"คุณหนูจะถามเรื่องอะไรกับเสี่ยวโหรวหรือเจ้าคะ"
บ่าวรับใช้ที่แสนจงรักภักดีต่อคุณหนูของนางค่อย ๆ นั่งลงกับพื้นข้างเตียง ทว่าหลันจินเยว่กลับรีบรั้งสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มผู้นี้ขึ้นมานั่งข้างกาย
"คุณหนูทำอันใดเจ้าคะ บ่าวจะนั่งเทียบเคียงคุณหนูได้เยี่ยงไร"
เสี่ยวโหรวทั้งตกใจจนรีบขัดขืนแรงของจินเยว่กลับมานั่งกับพื้นตามฐานะของตน