ทะลุมิติมาเป็นลูกกบฎที่หลงรักท่านอ๋อง

71.0K · จบแล้ว
Lai LA FuN / เฉิงเอ๋อร์
57
บท
5.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"ตะกละ แม้ในความฝันก็ยังคิดแต่เรื่องกิน" ตงเปียนอ๋องส่ายศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา มือหนาเอื้อมหยิบผ้าที่สาวใช้พาดไว้บนกะละมังเช็ดลงไปบนมุมปากจิ้มลิ้มลวก ๆ พร้อมสายตาที่บ่งบอกว่าขยะแขยงกริยานางยิ่งนัก "หอมจัง" จมูกเชิดรั้นเริ่มสูดดมตามหาต้นตอของกลิ่นอันหอมหวน "นี่เจ้า!" ตงเปียนอ๋องผู้สง่างามรักความสะอาดและไม่เคยต้องกายสตรีนางใดมาก่อนถึงกับทำตัวไม่ถูกเมื่อคนบนเตียงคว้ามือเขาเอาไว้แน่น "อืม หอม... น่า...กิน" ง่ำ ๆ... "เจ้า!" ใครจะไปคิดว่าจู่ ๆ คนที่หลับอยู่จะคว้ามือตนไปงับจนเกิดรอยฟัน "เจ้ากล้ากัดข้า!" เสียงขบกรามกังกรอด ดวงตาขึงดุจ้องอย่างอาฆาต ตงเปียนอ๋องค่อย ๆ ก้มลงไปจ้องใบหน้าสวยหวานที่มองยังไงก็หลับอยู่ หากแต่เวลาต่อมากลับเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น หมับ! พึ่บ..! "อุ้บ!" หลันจินเยว่ที่กำลังฝันถึงอะไรบางอย่างคว้าเข้าที่ชุดผ้าไหมปักเลื่อมลายสวยงามที่ตงเปียนอ๋องเฟยหลงเพิ่งไปเปลี่ยนมา ด้วยความที่เจ้าของชุดไม่ทันตั้งตัวทำให้เสียหลักล้มลงจนริมฝีปากทั้งสองประกบกันแนบสนิท

นิยายจีนโบราณแม่ทัพท่านอ๋องข้ามมิติเกิดใหม่จีนโบราณโรแมนติกกำลังภายใน

บทนำ : เคราะห์หนัก :

"สายแล้ว ๆ"

เสียงร้อนรนดังขึ้นพร้อมมือเรียวสวยหยิบหวีขึ้นมาสางผมพอลวก ๆ หมุนซ้ายหมุนขวาอย่างขอไปทีเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม

"เสี่ยวเยว่! นี่จะแปดโมงแล้วนะลูก ยังไม่เสร็จอีกเหรอ"

จินจวง ป้าแท้ ๆ ตะโกนขึ้นมาถามเมื่อเห็นว่าวันนี้เลยเวลาออกจากบ้านของหลานสาวสุดที่รักแล้ว

"มาแล้วค่า ๆ"

เจ้าของชื่อเรียกรีบวิ่งตึงตัง หอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ ทั้งกระเป๋าเอย รองเท้าส้นสูงเอยเสื้อสูทเอย จนคนเป็นป้าหวั่นจะตกบันไดก่อนได้ถึงที่ทำงาน

"เมื่อคืนกลับดึกเหรอลูก"

จินจวงพยายามไถ่ถามเพื่อให้คนที่รีบร้อนค่อย ๆ ตั้งสติแล้วใจเย็นลง

"นิดหน่อยค่ะ"

นิดหน่อยที่ไหนละ เมื่อคืนเป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบสามปีของเธอ เพื่อนสนิทจึงนัดกินดื่มกันหลังเลิกงาน กว่าจะรู้ตัวก็พากันกลับเกือบฟ้าสางได้นอนพักไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นมาในสภาพเช่นนี้แล้ว

"วันนี้ครบรอบยี่สิบสามปีพอดี หนูต้องตั้งสติ ก้าวขาข้างที่เป็นมงคลออกจากบ้านนะลูก"

ผู้ปกครองอย่างจินจวงที่ปีนี้อายุย่างห้าสิบเอ่ยบอกหลานสาวอย่างเป็นห่วง

"นี่มันยุคไหนแล้วคะป้า อาถรรพ์เลข 3 , 6 , 9 อะไรนั่นไม่มีแล้วละค่ะ"

สาวสมัยใหม่หลายคนมักจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเบญจเพสตามศาสนาเต๋านิกายเจิงอี้ สืบเนื่องมาจากยุคสมัยที่พัฒนาขึ้นทำให้ต่างก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวงร้ายดวงกุดกันแล้ว

"ไม่เชื่อป้าไม่ว่า ป้าแค่อยากเตือนให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลา แค่นี้ทำให้ป้าได้ใช่ไหม"

จินจวงไม่อยากสูญเสียหลานสาวไปอีกคน แค่เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนเธอสูญเสียน้องสาวแท้ ๆ ไปก็ทำใจไม่ได้แล้ว

"ค่า ๆ หนูสัญญา"

หลันจินเยว่ชูนิ้วก้อยขึ้นมาขอเกี่ยวก้อยกับผู้เป็นป้า

เฮอ... แค่เห็นรอยยิ้มหวานของเธอ จินจวงก็ใจอ่อนยวบไม่อยากเซ้าซี้ต่อความยาวให้หลานสายไปมากกว่านี้แล้ว

"คืนนี้ป้าจะทำบะหมี่อายุยืนไว้ให้ เลิกงานแล้วมาฉลองที่บ้านกันอีกรอบนะลูก"

จินเยว่ส่งยิ้มหวานเป็นการสัญญา ก่อนจะวิ่งออกจากประตูบ้านพร้อมมือสวยที่ยกโบกสูง

"ทำไมรู้สึกใจคอไม่ดีแบบนี้นะ"

เพียงแค่แผ่นหลังจินเยว่หายไปจากสายตาผู้เป็นป้า เธอรู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง เหมือนมีลางบอกเหตุว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

"เสี่ยวจู เสี่ยวฟง วันนี้จินเยว่อายุครบยี่สิบสามแล้วนะ ทั้งสองช่วยคุ้มครองแกให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงด้วยเทอญ"

ธูปหอมถูกปักลงบนกระถางธูปต่อหน้าป้ายชื่อของผู้วายชนน์ที่เป็นน้องสาวและน้องเขย หรือก็คือพ่อกับแม่ของหลันจินเยว่นั่นเอง

ฟิ้ว~

สายลมจากทิศทางไหนพัดปลิวมาต้องผิวกายเธอไม่อาจบอกได้ นั่นยิ่งทำให้จินจวงรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าที่เป็นอยู่

"อย่าคิดมากไปเลยเรา"

แม้จะเป็นประโยคปลอบใจตนเอง แต่ไม่ได้ช่วยให้เธอสบายใจขึ้นมาเลยสักนิดเดียว

ซิ่งไปเลยลูกพี่!

โชคดีที่วันนี้จินเยว่ขึ้นรถเมล์แล้วเจอสายตองหก โชว์เฟอร์ขับแหกนรกได้สะใจคนรีบอย่างเธอพอดี

"ขับแบบนี้ไปนั่งหลังเต่าแทนเถอะไป!"

เสียงโชว์เฟอร์ตีนผีขับทีขี้เยี่ยวราดด่ากราดให้รถมินิคันหนึ่งที่ขับอยู่ข้างหน้าด้วยความหงุดหงิด

"ใจเย็น ๆ ก็ได้ค่ะ"

เธอเปรียบเสมือนหน่วยกล้าตายที่เผลอปากเร็วสวนขึ้นทันควัน

แม้จะบอกว่าสะใจที่คนขับเหยียบไม่รู้จักเบรกแต่ก็เสียวไปทั้งหัวใจอยู่เหมือนกัน

"ใจเย็นไม่ได้หรอกหนู เมียพี่รออยู่ที่ห้อง รีบเอาเที่ยวให้ครบจะได้กลับไปหอมเมียที่บ้านให้ชื่นใจ"

เป็นคำตอบที่น่าอายเพราะสิ่งที่โชว์เฟอร์พูดมีคนได้ยินทั้งคันรถ

ไม่น่าปากไวเลยจินเยว่เอ๊ย!

คนถูกตอบกลับรีบยกกระเป๋าสะพายวางบนหน้าตักแล้วทำทีท่าเหมือนก้มหาของอะไรบางอย่างแก้อาการหน้าแหกที่ไปเผลอคุยกับคนขับจนได้คำตอบแบบนั้น

ใช้เวลาไม่นานเธอก็ถึงป้ายรถเมล์ที่อยู่ตรงข้ามกับที่ทำงาน ครั้นลงจากรถเรียบร้อยจึงยืนมองออฟฟิศที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมมองทางม้าลายสลับกับสะพานลอยที่ต้องเดินย้อนไปอีกห้าสิบเมตร

สะพานลอยปลอดภัยกว่า...

แต่ตอนนี้เธอรีบมากเพราะถ้าสายเกินสิบนาทีมีหวังถูกศาสตราจารย์จิ้นซุยกินหัวเอาแน่ ๆ เพราะท่านเป็นคนตรงต่อเวลามาก ๆ

เมื่อตัดสินใจได้แบบนั้น ขายาว ๆ ภายใต้กระโปรงทรงเอรัดรูปเตรียมก้าวข้ามทางม้าลาย ติดตรงที่

มีเสียงติดแหบแห้งของชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียก่อน เขานั่งอยู่บนทางเท้า ข้าง ๆ ตัวมีไม้เท้าเก่า ๆ วางอยู่ บนใบหน้าหย่อนคล้อยตามวัยมีแว่นตาสีดำสนิทสวมปิดบังดวงตาจนไม่อาจบอกได้ว่าเป็นคนตาดีหรือตาเสีย

"สองกายสลับจิต สับเปลี่ยนวุ่นวาย นำพามาซึ่งรักแท้"

หลันจินเยว่มองหน้าชายชราคนนั้นด้วยความสงสัย จำได้ว่าเมื่อกี้ที่เธอเดินมาไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนี้นี่ หรือว่าที่เธอไม่เห็นเพราะไม่ได้สนใจรอบข้างมัวแต่โฟกัสไปที่ออฟฟิศเบื้องหน้า

"คุณตารอใครหรือเปล่าคะ หรือว่าจะข้ามไปฝั่งนู้นเหมือนกัน ด้วยความเป็นคนดีมีน้ำใจจึงเอ่ยถาม

ทว่าชายชราคนนั้นกลับหยิบไม้เท้าขึ้นมาแล้วลุกขึ้นคลำทางเดินไปทางที่เธอเพิ่งลงจากรถเมล์มา

"สองจิตสื่อถึง ผูกพันกงกรรมกงเกวียน เปลี่ยนชะตานำพามาซึ่งการพานพบและการสูญเสีย"

ไม่ได้เดินไปแบบเงียบ ๆ แต่ชายชราคนนั้นกลับท่องเหมือนบทกลอนอะไรสักอย่างทว่าเธอไม่รู้จักเลยไม่ใส่ใจ หันหน้ากลับมาเตรียมข้ามทางม้าลายจนลืมดูสัญญาณเตือนว่าจะหมดเวลาสำหรับคนเดินข้ามแล้ว

ปี้น ๆ

"กรี๊ด!!"

เอี๊ยด...

โครม..!

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่หลันจินเยว่ก้าวเท้าลงบนทางม้าลายได้เพียงสองก้าว รถยนต์คันหนึ่งพุ่งมาด้วยความเร็วสูงชนเข้ากับเธอจนกระเด็น

ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกใจและกลายเป็นมุงดูอย่างวุ่นวาย

ดวงตาสวยเหมือนกับแสงจันทร์นวลค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ แล้วมืดดับไป