บทนำ : เคราะห์หนัก :
"สายแล้ว ๆ"
เสียงร้อนรนดังขึ้นพร้อมมือเรียวสวยหยิบหวีขึ้นมาสางผมพอลวก ๆ หมุนซ้ายหมุนขวาอย่างขอไปทีเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม
"เสี่ยวเยว่! นี่จะแปดโมงแล้วนะลูก ยังไม่เสร็จอีกเหรอ"
จินจวง ป้าแท้ ๆ ตะโกนขึ้นมาถามเมื่อเห็นว่าวันนี้เลยเวลาออกจากบ้านของหลานสาวสุดที่รักแล้ว
"มาแล้วค่า ๆ"
เจ้าของชื่อเรียกรีบวิ่งตึงตัง หอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ ทั้งกระเป๋าเอย รองเท้าส้นสูงเอยเสื้อสูทเอย จนคนเป็นป้าหวั่นจะตกบันไดก่อนได้ถึงที่ทำงาน
"เมื่อคืนกลับดึกเหรอลูก"
จินจวงพยายามไถ่ถามเพื่อให้คนที่รีบร้อนค่อย ๆ ตั้งสติแล้วใจเย็นลง
"นิดหน่อยค่ะ"
นิดหน่อยที่ไหนละ เมื่อคืนเป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบสามปีของเธอ เพื่อนสนิทจึงนัดกินดื่มกันหลังเลิกงาน กว่าจะรู้ตัวก็พากันกลับเกือบฟ้าสางได้นอนพักไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นมาในสภาพเช่นนี้แล้ว
"วันนี้ครบรอบยี่สิบสามปีพอดี หนูต้องตั้งสติ ก้าวขาข้างที่เป็นมงคลออกจากบ้านนะลูก"
ผู้ปกครองอย่างจินจวงที่ปีนี้อายุย่างห้าสิบเอ่ยบอกหลานสาวอย่างเป็นห่วง
"นี่มันยุคไหนแล้วคะป้า อาถรรพ์เลข 3 , 6 , 9 อะไรนั่นไม่มีแล้วละค่ะ"
สาวสมัยใหม่หลายคนมักจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเบญจเพสตามศาสนาเต๋านิกายเจิงอี้ สืบเนื่องมาจากยุคสมัยที่พัฒนาขึ้นทำให้ต่างก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวงร้ายดวงกุดกันแล้ว
"ไม่เชื่อป้าไม่ว่า ป้าแค่อยากเตือนให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลา แค่นี้ทำให้ป้าได้ใช่ไหม"
จินจวงไม่อยากสูญเสียหลานสาวไปอีกคน แค่เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนเธอสูญเสียน้องสาวแท้ ๆ ไปก็ทำใจไม่ได้แล้ว
"ค่า ๆ หนูสัญญา"
หลันจินเยว่ชูนิ้วก้อยขึ้นมาขอเกี่ยวก้อยกับผู้เป็นป้า
เฮอ... แค่เห็นรอยยิ้มหวานของเธอ จินจวงก็ใจอ่อนยวบไม่อยากเซ้าซี้ต่อความยาวให้หลานสายไปมากกว่านี้แล้ว
"คืนนี้ป้าจะทำบะหมี่อายุยืนไว้ให้ เลิกงานแล้วมาฉลองที่บ้านกันอีกรอบนะลูก"
จินเยว่ส่งยิ้มหวานเป็นการสัญญา ก่อนจะวิ่งออกจากประตูบ้านพร้อมมือสวยที่ยกโบกสูง
"ทำไมรู้สึกใจคอไม่ดีแบบนี้นะ"
เพียงแค่แผ่นหลังจินเยว่หายไปจากสายตาผู้เป็นป้า เธอรู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง เหมือนมีลางบอกเหตุว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
"เสี่ยวจู เสี่ยวฟง วันนี้จินเยว่อายุครบยี่สิบสามแล้วนะ ทั้งสองช่วยคุ้มครองแกให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงด้วยเทอญ"
ธูปหอมถูกปักลงบนกระถางธูปต่อหน้าป้ายชื่อของผู้วายชนน์ที่เป็นน้องสาวและน้องเขย หรือก็คือพ่อกับแม่ของหลันจินเยว่นั่นเอง
ฟิ้ว~
สายลมจากทิศทางไหนพัดปลิวมาต้องผิวกายเธอไม่อาจบอกได้ นั่นยิ่งทำให้จินจวงรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
"อย่าคิดมากไปเลยเรา"
แม้จะเป็นประโยคปลอบใจตนเอง แต่ไม่ได้ช่วยให้เธอสบายใจขึ้นมาเลยสักนิดเดียว
ซิ่งไปเลยลูกพี่!
โชคดีที่วันนี้จินเยว่ขึ้นรถเมล์แล้วเจอสายตองหก โชว์เฟอร์ขับแหกนรกได้สะใจคนรีบอย่างเธอพอดี
"ขับแบบนี้ไปนั่งหลังเต่าแทนเถอะไป!"
เสียงโชว์เฟอร์ตีนผีขับทีขี้เยี่ยวราดด่ากราดให้รถมินิคันหนึ่งที่ขับอยู่ข้างหน้าด้วยความหงุดหงิด
"ใจเย็น ๆ ก็ได้ค่ะ"
เธอเปรียบเสมือนหน่วยกล้าตายที่เผลอปากเร็วสวนขึ้นทันควัน
แม้จะบอกว่าสะใจที่คนขับเหยียบไม่รู้จักเบรกแต่ก็เสียวไปทั้งหัวใจอยู่เหมือนกัน
"ใจเย็นไม่ได้หรอกหนู เมียพี่รออยู่ที่ห้อง รีบเอาเที่ยวให้ครบจะได้กลับไปหอมเมียที่บ้านให้ชื่นใจ"
เป็นคำตอบที่น่าอายเพราะสิ่งที่โชว์เฟอร์พูดมีคนได้ยินทั้งคันรถ
ไม่น่าปากไวเลยจินเยว่เอ๊ย!
คนถูกตอบกลับรีบยกกระเป๋าสะพายวางบนหน้าตักแล้วทำทีท่าเหมือนก้มหาของอะไรบางอย่างแก้อาการหน้าแหกที่ไปเผลอคุยกับคนขับจนได้คำตอบแบบนั้น
ใช้เวลาไม่นานเธอก็ถึงป้ายรถเมล์ที่อยู่ตรงข้ามกับที่ทำงาน ครั้นลงจากรถเรียบร้อยจึงยืนมองออฟฟิศที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมมองทางม้าลายสลับกับสะพานลอยที่ต้องเดินย้อนไปอีกห้าสิบเมตร
สะพานลอยปลอดภัยกว่า...
แต่ตอนนี้เธอรีบมากเพราะถ้าสายเกินสิบนาทีมีหวังถูกศาสตราจารย์จิ้นซุยกินหัวเอาแน่ ๆ เพราะท่านเป็นคนตรงต่อเวลามาก ๆ
เมื่อตัดสินใจได้แบบนั้น ขายาว ๆ ภายใต้กระโปรงทรงเอรัดรูปเตรียมก้าวข้ามทางม้าลาย ติดตรงที่
มีเสียงติดแหบแห้งของชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียก่อน เขานั่งอยู่บนทางเท้า ข้าง ๆ ตัวมีไม้เท้าเก่า ๆ วางอยู่ บนใบหน้าหย่อนคล้อยตามวัยมีแว่นตาสีดำสนิทสวมปิดบังดวงตาจนไม่อาจบอกได้ว่าเป็นคนตาดีหรือตาเสีย
"สองกายสลับจิต สับเปลี่ยนวุ่นวาย นำพามาซึ่งรักแท้"
หลันจินเยว่มองหน้าชายชราคนนั้นด้วยความสงสัย จำได้ว่าเมื่อกี้ที่เธอเดินมาไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนี้นี่ หรือว่าที่เธอไม่เห็นเพราะไม่ได้สนใจรอบข้างมัวแต่โฟกัสไปที่ออฟฟิศเบื้องหน้า
"คุณตารอใครหรือเปล่าคะ หรือว่าจะข้ามไปฝั่งนู้นเหมือนกัน ด้วยความเป็นคนดีมีน้ำใจจึงเอ่ยถาม
ทว่าชายชราคนนั้นกลับหยิบไม้เท้าขึ้นมาแล้วลุกขึ้นคลำทางเดินไปทางที่เธอเพิ่งลงจากรถเมล์มา
"สองจิตสื่อถึง ผูกพันกงกรรมกงเกวียน เปลี่ยนชะตานำพามาซึ่งการพานพบและการสูญเสีย"
ไม่ได้เดินไปแบบเงียบ ๆ แต่ชายชราคนนั้นกลับท่องเหมือนบทกลอนอะไรสักอย่างทว่าเธอไม่รู้จักเลยไม่ใส่ใจ หันหน้ากลับมาเตรียมข้ามทางม้าลายจนลืมดูสัญญาณเตือนว่าจะหมดเวลาสำหรับคนเดินข้ามแล้ว
ปี้น ๆ
"กรี๊ด!!"
เอี๊ยด...
โครม..!
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่หลันจินเยว่ก้าวเท้าลงบนทางม้าลายได้เพียงสองก้าว รถยนต์คันหนึ่งพุ่งมาด้วยความเร็วสูงชนเข้ากับเธอจนกระเด็น
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกใจและกลายเป็นมุงดูอย่างวุ่นวาย
ดวงตาสวยเหมือนกับแสงจันทร์นวลค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ แล้วมืดดับไป