สหายวัยเยาว์ : [2]
แม้มีหมื่นคำพูดที่อยากอธิบาย หากแต่มองดูความเป็นไปแล้วบุคคลทั้งสองคงมิเชื่อ นางจึงหยุดคำพูดไว้ในใจดังเดิม
"มีอะไร เจ้าจำข้าได้สักนิดแล้วหรือ"
ชิงหรงอยากได้ข่าวดีให้ใจชื้นขึ้นมาหากแต่กลับต้องผิดหวัง
"ข้าขอโทษ แต่สักวันคงจำท่านได้"
'ต้องมีสักวันที่เราจะได้กลับโลกของเรา เมื่อวันนั้นมาถึงเฟิงเยว่ซินตัวจริงก็จะกลับมา เรื่องราวยุ่งเหยิงนี้ก็จะจบลง'
"ท่านรองแม่ทัพมาที่นี่เพื่อช่วยคุณหนูใช่ไหมเจ้าคะ" เสี่ยวโหรวรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าบรรยากาศช่างโศกเศร้ายิ่งนัก
"ข้าเกือบลืมไป วันนี้ข้ายังพาพวกเจ้าออกไปไม่ได้ ต้องรอให้ท่านแม่ทัพกลับมาเสียก่อน"
เสี่ยวโหรวรู้ดีว่า 'ท่านแม่ทัพ' ที่ว่าคือใครนางรีบแย้มยิ้มดีใจอย่างโล่งอก
"ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดียิ่งนัก พวกเราจะได้ออกจากที่แห่งนี้แล้วนะเจ้าคะคุณหนู"
หลันจินเยว่ยิ้มตามเมื่อรู้ว่าอีกไม่นานจะได้เป็นอิสระ
แต่ลึก ๆ นางก็แอบหวั่นใจเช่นกันว่าจะอยู่ในที่แห่งนี้ที่ไม่ใช่ที่ของตนได้หรือไม่
"พวกทหารยามไม่มีใครเอาน้ำเอาอาหารมาให้พวกเจ้าเลยหรือ"
ชิงหรงมองดูรอบคุกที่ทั้งสองอยู่ไม่มีแม้กาน้ำหรือว่าถ้วยน้ำสักชาม ทำแบบนี้มันเกินไปหน่อยกระมัง
"พวกทหารยามบอกว่านี่เป็นคำสั่งของท่านเสนาบดีเจ้ากรมซู่เจ้าค่ะ"
"ซู่ จินเพ่ย"
ชิงหรงเอ่ยนาม ซู่จินเพ่ย เสนาบดีของกรมกลาโหม ผู้มีอำนาจคุมทหารทั้งหมดของพระราชวังด้วยเสียงเคียดแค้น
แต่เดิมตนกับซู่จินเพ่ยก็ไม่ค่อยชอบหน้ากันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดีที่ตนเป็นทหารของอ๋องสี่เลยไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้คำสั่งของซู่จินเพ่ย
"พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ยามอิ๋น นี้ท่านแม่ทัพจะเดินทางมาถึงจวนแล้ว ข้าจะขอร้องให้ท่านช่วยเหลือพวกเจ้าออกมาให้สำเร็จ"
หลันจินเยว่ได้ยินถึงกับดีใจเนื้อเต้นอยู่ข้างใน อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องแห้งตายในคุกแห่งนี้
"ขอบใจท่านมาก"
"เจ้ากล่าวเหมือนเกรงใจข้า เสี่ยวซิน...ต่อให้เจ้าจำข้าไม่ได้ ขอให้เจ้าจำไว้ ข้าอู่ชิงหรง คือคนที่เจ้าเชื่อใจได้ทุกยาม"
นอกจากจะรูปงามสมชายชาตรีแล้วยังน้ำใจดีเป็นเลิศ ถ้าเกิดในยุคของนางคงมีสาว ๆ รุมล้อมเป็นแน่
"ข้าต้องกลับค่ายทหารแล้ว หูตาของซู่จินเพ่ยมากมายนัก ข้าไม่อยากเพิ่มความเดือดร้อนให้พวกเจ้า"
ถึงจะไม่ได้ขึ้นตรงรับคำสั่งจากเขา ทว่าชิงหรงก็เป็นทหารที่กินเบี้ยหวัดของกรมกลาโหมอยู่จึงไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่สมควรขึ้นจนถูกกลั่นแกล้งเดือดร้อนไปถึงผู้บังคับบัญชาตน
"ขอบคุณท่านรองแม่ทัพที่ยังไม่ลืมคุณหนูข้าแม้ว่า..."
เสี่ยวโหรวอึดอัดใจไม่กล้าเอ่ยความในใจออกมา
"เจ้าไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ดูแลคุณหนูเจ้าให้ดี ที่เหลือข้าจัดการเอง"
ได้ยินเยี่ยงนี้ทั้งสองนางต่างก็ยิ้มให้กันอย่างมีความหวัง
"ขอบคุณท่านสำหรับทุกอย่าง"
แม้ความเป็นจริงตอนนี้นางจะไม่เคยรู้จักกับชิงหรงผู้นี้ แต่นางช่างอิจฉาเฟิงเยว่ซินตัวจริงนักที่มีเพื่อนดี ๆ ไว้ข้างกายถึงสองคน
"ข้าไปก่อน พรุ่งนี้พวกเจ้ารอฟังข่าวดีได้เลย"
ชิงหรงกลับออกไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงสตรีสองนางและบรรยากาศเย็นยะเยือกและอับชื้นอีกครั้ง
รุ่งสางของอีกวัน...
เคร้ง!
เสียงโซ่เส้นใหญ่ที่คล้องประตูคุกเอาไว้ถูกปลดออกด้วยฝีมือของทหารยาม
บัดนี้เป็นเวลายามเหม่าที่เหล่าผู้คุมจะต้องเดินปลุกนักโทษและให้ข้าวให้น้ำ
สตรีสองนางที่นอนกอดกองฟางเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเพราะไร้ซึ่งผ้าห่มมาคลุมกายพากันอุดหูกับเสียงดังเสียดหูนั้น
"ตื่นได้แล้ว ที่นี่เจ้าเป็นนักโทษมิใช่คุณหนูรองของตระกลูเฟิงที่ล่มสลายเพราะบิดาผู้ละโมบอีกแล้ว รีบลุกขึ้นมากินข้าวกินปลาให้เสร็จก่อน หนึ่งเค่อ"
"เดี๋ยวสิ! หนึ่งเค่อจะให้พวกเราสำลักข้าวติดคอตายหรือ" เสี่ยวโหรวรีบค้าน
"หรือจะให้ข้าเก็บไปตอนนี้เสีย"
ทหารยามคนนี้ช่างฝีปากเก่งกล้ากับสตรียิ่งนัก
เมื่อถูกข่มขู่ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าเสี่ยวโหรวจึงได้แต่ทำหน้าบึ้งตึงแล้วหุบปากลง
"หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง หนึ่งเค่อเท่ากับ 15 นาที"
"อะไร นะ นา... นาที คืออะไรเจ้าคะ"
เสี่ยวโหรวไม่เคยได้ยินศัพท์คำนี้มาก่อนจึงถามคุณหนูด้วยใบหน้าอยากรู้
"ไม่มีอะไรหรอก รีบกินเถอะเดี๋ยวทหารหน้ายักษ์จะกลับมาอีก"
ทหารหน้ายักษ์แปลว่าอันใดกัน ทำไมนางจึงฟังที่คุณหนูพูดไม่ค่อยเข้าใจ
"โอ๊ย!"
ตอนที่ใช้จะเกียบคีบข้าวเข้าปาก หลันจินเยว่ก็เกิดปวดหัวขึ้นมากะทันหัน
"คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ!"
เสี่ยวโหรวตกใจที่จู่ ๆ คุณหนูนางก็ร้องขึ้นมาเสียงลั่นแถมยังมีสีหน้าบิดเบี้ยวคิ้วขมวดราวเจ็บปวดใจจะขาดดิ้น
"... ข้าปวดหัว"
ทำไมถึงมีความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยขึ้นมาให้เห็นกันล่ะ เธอผู้นั้นเป็นใคร ทำไมมีรอยยิ้มสดใสขนาดนั้น
'เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน'
เสียงที่ไม่คุ้นหูดังก้องอยู่ในหัวนางราวกำลังสะกดจิตให้ดวงจิตกับร่างกายประสานกัน
"เกิดอะไรขึ้น!"
เสียงทุ้มที่คุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับเสียงดัง 'อั่ก!' ของทหารยามที่ถูกมือหนากำเสื้อแล้วโยนให้หลบทาง
"เสี่ยวซิน เจ้าเป็นอะไรไป"
ชิงหรงที่มาตามคำมั่นเอ่ยถามร่างบางที่บัดนี้นั่งฟุบหน้าซบไหล่สาวใช้ด้วยใบหน้าที่ดูทรมานยิ่งนัก
"คุณหนูบอกว่าปวดหัวแล้วเอาแต่ซบหน้ากับบ่าวแบบนี้เจ้าค่ะ" เสี่ยวโหรวอธิบายให้บุรุษรูปงามนามว่าอู่ชิงหรงฟัง
"พานางกลับจวนข้าก่อน" เสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้น
"มิได้ขอรับ! นางผู้นี้เป็นบุตรีของกบฎ ท่านเสนาบดีซู่สั่งไว้ไม่ให้ผู้ใดพานางออกไปจากคุกแห่งนี้จนกว่าจะมีราชโองการตัดสินโทษมาพะย่ะค่ะ"
"แม้แต่ข้า?"
ดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยวปรายมองทหารยามที่แสนจะต่ำต้อยกว่าบรรดาศักดิ์เขายิ่งนัก
"ข...ข้าน้อยมิกล้า แต่ว่าคำสั่งท่านเสนา..."
"จำคำข้าไว้ หากเสนาซู่ต้องการเอาเรื่องเจ้าให้เขาไปพบข้าได้ทุกยามที่จวนอ๋องสี่"
ทหารยามตัวเล็กลีบเท่ามดปลวกทันทีเมื่อยืนเทียบเคียงองค์ชายสี่แห่งองค์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
"ขอบพระทัยท่านอ๋อง"
"ไม่ต้องมากความ เจ้ารีบพานางกลับจวนโดยไว"
องค์ชายสี่แห่งแคว้นถังเอ่ยบอกองครักษ์ประจำกายหรืออีกตำแหน่งทางการทหารเป็นรองแม่ทัพแห่งกองทัพมังกรขาว
อู่ชิงหรงรีบอุ้มสหายตั้งแต่เด็กพาออกไปจากคุกแห่งนี้โดยมีสาวใช้อย่างเสี่ยวโหรวเดินตามเจ้านายไม่ห่างสักฝีก้าวเดียว