บทที่ 4 สมบัติผัวก็เหมือนของเมีย
โหวหงชางยิ้มร่ามองหนังสือหย่าในมือด้วยความสุขใจ หลังจากวันที่ขอหย่ากับเจียวเจียงเจียง เมื่อนางตอบตกลง เขาก็รีบส่งคนไปขอหนังสือหย่าจากสำนักทะเบียน เมื่อได้มันมาก็รีบตรงดิ่งไปยังห้องของนาง แต่ทว่าในตอนที่เห็นนางลงชื่อในหนังสือหย่าด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาก็รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก
ไหนเมื่อก่อนบอกว่ารักข้ามากมาย แต่ทำไมถึงได้ลงชื่อหย่าอย่างง่ายดายเช่นนั้นเล่า!
ชายหนุ่มครุ่นคิดพลางถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด
"ให้กระหม่อมนำหนังสือหย่าไปส่งที่สำนักทะเบียนเลยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" หวังเชาเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นสายตาคมจ้องมองมาอย่างดุดัน
"หรือจวิ้นอ๋องจะยังทรงลังเล..."
"ใครว่าข้าลังเลกัน เอ้า! เอาไปยื่นที่สำนักทะเบียนได้แล้ว เร็วได้ที่สุดยิ่งดี" โหวหงชางโยนหนังสือหย่าให้กับหวังเชา ก่อนจะเดินไปหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง
เจียวเจียงเจียงยอมหย่าให้ก็ดีแล้ว เขาจะได้แต่งงานกับเจียวจื่ออิงและยกนางขึ้นเป็นชายาเอกได้ตามที่เคยปรารถนา
โหวหงชางคิดอย่างมีความสุข
เจียวเจียงเจียงมองหีบใส่เงินมากมายที่วางกองอยู่เบื้องหน้า โหวหงชางไม่ผิดคำสัญญา หลังจากนางลงชื่อหย่าเขาก็ให้คนนำเงินหมื่นตำลึงทองมามอบให้นางทันที แสงสีทองของมันส่องแวววาวต้องแสงไฟเข้ามากระทบตา เจียวเจียงเจียงมองด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก
หลังจากนี้นางคิดว่านางจะเดินทางขึ้นไปยังแดนเหนือ ซื้อบ้านไว้สักหลังหนึ่งและนำเงินไปลงทุนทำโรงเตี๊ยมขึ้นมา ชิงชิงกับชิวชิวมีฝีมือในการทำอาหาร รสมือของพวกนางล้วนอร่อยถูกปาก ตั้งใจจะจ้างให้พวกนางเป็นแม่ครัว ส่วนตัวของนางเองจะเป็นเถ้าแก่คอยบริหารนั่งนับเงินอย่างสบายใจ
"แจกันลายครามใบนั้นใส่ลงไปในหีบใส่ของของข้าด้วยนะ" หญิงสาวเอ่ยกับนางกำนัลคนสนิท
"แต่นั่นมันเป็นของจวนอ๋องนะเพคะ" ชิวชิวโผเข้ามากระซิบถามเสียงเบา
"สมบัติของผัวก็เหมือนของเมีย ข้ากับจวิ้นอ๋องเคยแต่งงานกัน ของพวกนี้เปรียบเสมือนของสมรส หลังจากหย่ากันก็ต้องแบ่งกันคนละครึ่งย่อมถูกต้องแล้ว"
ชิวชิวได้ยินเช่นนั้นจึงผงกศีรษะรับเบาๆ
"พระชายาบอกว่าสมบัติของผัวก็เหมือนของเมีย ถ้าเช่นนั้นสมบัติของพระชายาก็เป็นของจวิ้นอ๋องด้วยเช่นกันใช่หรือไม่เพคะ" ชิงชิงถามขึ้นบ้าง
"เปล่า ข้าหมายถึงสมบัติของผัวก็เหมือนของเมีย แต่สมบัติของเมียก็คือของเมีย ห้ามผัวยุ่งอย่างไรเล่า"
สิ้นวาจานั้น ชิงชิงกับชิวชิวหันหน้าขวับมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย เหตุใดความหมายในคำพูดของพระชายาถึงได้แปลกพิกลเช่นนั้นเล่า
เจียวเจียงเจียงเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เพียงแค่คิดว่าตนเองจะได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างมีความสุขบนกองเงินกองทองก็รู้สึกดีมากแล้ว
ขณะที่กำลังครุ่นคิดบางอย่าง พลันสายตาก็ประสานเข้ากับร่างสูงของใครบางคนที่ยืนอยู่ในสวนอุทยาน เขาผู้นั้นเห็นนางมองมาก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงก้มศีรษะให้เบาๆ เจียวเจียงเจียงมองเขาด้วยความชื่นชม แม้จะมองจากที่ไกลๆ แต่ดวงหน้าของเขานั้นเด่นชัด คิ้วตาเที่ยงตรง ตลอดร่างดูฮึกเหิมสง่างาม
เห็นแล้วรู้สึกเสียววูบโหวงในช่องท้องอย่างประหลาด
"ชิงชิง ชิวชิว บุรุษผู้นั้นเป็นใครกัน" เจียวเจียงเจียงหันมาถามนางกำนัลคนสนิท เจอคนหล่อเหลาเช่นนั้นย่อมอยากทำความรู้จักเป็นเรื่องธรรมดา
"ผู้ใดกันเพคะ" ชิงชิงโผล่หน้าออกมามอง ทว่ากลับไม่เห็นใครเลยสักคน
"โน่นไง อ้าว ไปไหนแล้ว" เจียวเจียงเจียงอุทานด้วยความประหลาดใจ ใครกันนะรวดเร็วยิ่งกว่าลิงลมเสียอีก
"หรือว่าจะเป็นผีหรือเพคะ" ชิวชิวมองไปรอบกายด้วยความหวาดระแวง ชิงชิงได้ยินเช่นนั้นจึงรีบวิ่งเข้ามากอดพี่สาวเอาไว้ด้วยความหวาดกลัว
"เพ้อเจ้อน่า ผีอะไรจะโผล่มาตอนกลางวันแสกๆ"
"อาจจะเป็นผีที่ไม่กลัวแสงอาทิตย์ก็ได้นะเพคะ"
เจียวเจียงเจียงส่ายหน้าให้กับความตาขาวของสาวใช้ ก่อนที่นางจะก้าวเดินออกไปจากห้องอย่างทะมัดทะแมง
"พระชายาจะเสด็จไปไหนเพคะ" ฝาแฝดทั้งสองร้องถามออกมาพร้อมกัน
"ไปพิสูจน์ให้รู้ว่าเขาเป็นผีหรือคนกันแน่"
เจียวเจียงเจียงเดินตรงไปที่สวนอุทยานโดยมีชิงชิงกับชิวชิวเดินเคียงกันมาติดๆ ถึงแม้จะรู้สึกกลัวแต่จะให้ทิ้งพระชายาไว้คนเดียวได้อย่างไรกัน
"หายไปไหนแล้ว เมื่อครู่ยังอยู่ตรงนี้แท้ๆ" มือบางยกขึ้นเท้าสะเอว หันมองซ้ายขวาด้วยความสงสัย
กรอบแกรบ!
"ชิงชิง ชิวชิว เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่"
"เสียงอะไรหรือเพคะพระชายา"
"หรือว่าจะเป็นเสียงผีเพคะ" ชิงชิงร้องถามก่อนจะหันไปกอดพี่สาวไว้แนบแน่น
"ชู่ววว" เจียวเจียงเจียงยกนิ้วขึ้นมาแตะปากเป็นสัญญาณบอกให้พวกนางเงียบ ก่อนจะหันไปมองยังที่มาของเสียง
และแล้วสิ่งที่นางเห็นนั้นหาใช่คนไม่ มันคืองูตัวใหญ่เท่าแขนสีดำสนิทกำลังเลื้อยมายังจุดที่นางยืนอยู่
ฟ่อ!
มันแลบลิ้นออกมาจากปาก พร้อมชูคอขึ้น ตั้งท่าเตรียมพร้อมมองตรงไปยังเบื้องหน้า ขาเรียวเสลาขาวนวลเนียนคือเป้าหมายของมันในครั้งนี้
เจียวเจียงเจียงหรี่ตาลงจ้องมองไปยังเจ้าสัตว์เลื้อยคล้ายตัวร้าย เมื่อประเมินดูแล้วว่ามันไม่ใช่งูที่มีพิษ หากโดนกัดก็แค่เจ็บแต่ไม่ถึงตาย วิธีการหลีกเลี่ยงเจ้าอสรพิษร้ายคือการหยุดยืนอยู่นิ่งๆ เคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด เมื่อมันจับการเคลื่อนไหวไม่ได้ มันก็จะจากไปเอง
ชิงชิงกับชิวชิวตะลึงงัน หันไปคว้ากิ่งไม้เตรียมโยนใส่มัน แต่เมื่อหันไปสบตากับเจียวเจียงเจียงจึงหยุดชะงักมือ
เจียวเจียงเจียงส่ายศีรษะให้บ่าวรับใช้ ก่อนจะแกล้งหยุดยืนนิ่ง แต่แล้ว...
ฉึ่ก!
เจ้างูโผเข้าไปฉกวัตถุบางอย่างที่ลอยละลิ่วมาใส่มันด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะเลื้อยจากไป
"พระชายาบาดเจ็บที่ใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
เจียวเจียงเจียงหันไปมองตามเสียง แลเห็นบุรุษผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาหา สีหน้าของเขาแลดูตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
"อาฟง ท่านมาทันเวลาพอดี" ชิวชิวกล่าวด้วยความดีใจ
เจียวเจียงเจียงเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเขาคนนี้เป็นคนเดียวกับชายหนุ่มที่นางเห็นเมื่อครู่นี้ ยิ่งเห็นใกล้ๆ ยิ่งทำให้รู้ว่าเขาผู้นี้เป็นคนที่หล่อบาดตาบาดใจมากเหลือเกิน
"พระชายา!"
"พระชายาเพคะ!"
ทั้งอาฟง ชิงชิวกับชิวชิวรีบปรี่เข้ามารับร่างบางที่เข่าอ่อนทำท่าซวนเซจะล้มลงเอาไว้คนละทาง
"งูตัวนั้นมันจะทำร้ายข้า ข้ารู้สึกหวาดกลัวมากเหลือเกิน" เจียวเจียงเจียงกล่าว เนื้อตัวสั่นเทิ้มไม่ต่างจากลูกนก ซบใบหน้าลงบนแผงอกแกร่งของอาฟง
อาฟงตกใจเล็กน้อย มือไม้ไม่รู้ว่าจะนำไปไว้ตรงไหน ไม่กล้าแตะต้องร่างบางแม้แต่ปลายนิ้ว ถึงแม้ว่าภายในใจจะปรารถนาในตัวนางมากเพียงใดก็ตาม
"โธ่ พระชายาของหม่อมฉัน คงจะตกใจมากสินะเพคะ ถ้าเช่นนั้นชิงชิงเรารีบพาพระชายากลับหอนอนกันเถอะ" ชิวชิวดึงร่างบางของเจียวเจียงเจียงไปประคอง แม้นางจะฝืนตัวเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจสู้แรงของชิวชิวได้ หนำซ้ำชิงชิงยังมาร่วมช่วยนางอีกคน
สุดท้าย เจียวเจียงเจียงจึงจำต้องยอมให้นางกำนัลน้อยทั้งสองพากลับขึ้นหอนอนไปอย่างน่าเสียดาย
อาฟงมองตามร่างบางของเจียวเจียงเจียงไปด้วยความเป็นห่วง พระชายาคงจะตกใจเป็นอย่างมาก ตอนที่นางซบลงบนอกเขาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นเบาๆ เขาอยากประคองกอดนางด้วยความรัก ปลอบโยนให้นางหายกลัว แต่ก็ทำได้เพียงแค่ข่มใจยืนอยู่นิ่งๆ ทว่าเขาได้ยินข่าวจากพวกนางกำนัลกล่าวว่า จวิ้นอ๋องกับพระชายากำลังจะหย่ากัน หากถึงเวลานั้นเมื่อใด เขาจะไม่รีรอในการเข้าไปสานสัมพันธ์กับนางเลย
อีกฟากหนึ่งของอุทยาน ภายในหน้าต่างบานใหญ่มีร่างกำยำของใครบางคนกำลังยืนมองอยู่ กรามแกร่งปรากฏสันนูนขึ้นอย่างเด่นชัด
"จวิ้นอ๋องพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูสกุลเจียวกับอาฟงดูเหมาะสมกันดีนะพ่ะย่ะค่ะ" หวังเชาเอ่ยขึ้นพลางแย้มยิ้มกว้าง บัดนี้เจียวเจียงเจียงกับจวิ้นอ๋องหย่าขาดจากกันแล้ว เขาจึงเรียกนางว่าคุณหนูสกุลเจียวตามเดิม
"เหลวไหล! เหมาะสมอะไรกัน!"
หวังเชาชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าบ่งบอกถึงความงุนงงเป็นอย่างมาก เขาพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ ในเมื่อคุณหนูสกุลเจียวไม่ได้มีพันธะใดกับจวิ้นอ๋องแล้ว นางจะสามารถสานสัมพันธ์กับบุรุษอื่นใดก็ได้มิใช่หรือ
"สำนักทะเบียนยังไม่อนุมัติการหย่ากลับคิดจะมีสามีใหม่แล้ว ไร้ยางอายยิ่งนัก!" เขากล่าวเสียงแข็ง ก่อนจะก้าวฉับๆ เดินออกจากห้องไปอย่างหัวเสีย
หวังเชายกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความงุนงง สงสัยว่าช่วงนี้จวิ้นอ๋องจะเครียดหนัก อารมณ์จึงขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย น่าเห็นใจเป็นอย่างมาก คิดพร้อมกับวิ่งตามไปรับใช้ข้างกาย