บทที่ 6
จือหลินไม่ได้รับรู้เรื่องราวหลังจากนั้น เมื่ออี้เฉินถูกชาวบ้านพากลับไป นางก็รีบเร่งมือเก็บฟืนกลับเรือน เพื่อไปดูเกลือที่นางต้มไว้
แต่กว่าที่เกลือจะเสร็จก็เกือบฟ้ามืดเสียแล้ว ลี่อินเข้ามาช่วยบุตรสาวขนฟืนเข้าไปห้องครัว
จือหลินเติมฟืนเข้าเตาเพื่อเร่งฟืนในช่วงสุดท้าย น้ำในกระทะเริ่มเป็นเกลือขาวโผล่มาให้เห็นแล้ว จือหลินใช้ทัพพีช้อนเกลือที่เป็นเม็ดขึ้นมาใส่กระด้งที่มารดาหามาให้นาง
น้ำที่ยังไม่ระเหยในกระทะนางก็ปล่อยไว้เช่นนั้น ก่อนที่จะหันมาเกลี่ยเกลือเพื่อให้คายความร้อนไว้ขึ้นนางจะได้เก็บเข้าไห ป้องกันคนที่มาหาที่เรือนพบเห็นเขา
แต่ส่วนน้อยที่จะมีผู้ใดมาหานางทั้งสองคนแม่ลูก แต่กันไว้ก่อนย่อมดีกว่า เพราะเกลือเป็นสินค้าต้องห้าม หากมีคนล่วงรู้ว่านางสามารถทำเกลือขึ้นมาได้ต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่
ลี่อินมองเกลือที่เสร็จแล้วในกระด้งอย่างตกตะลึง นางไม่คิดว่าเพียงดินที่บุตรสาวนำกลับมาจะได้เกลือออกมาเช่นนี้ ถึงแม้น้ำที่เกือบเต็มกระทะจะต้มออกมาได้ไม่มากอย่างที่คิด แต่เท่านี้ก็มากพอกับทั้งชีวิตที่นางได้กินมาเสียอีก
“หลินเออร์ หากมีผู้ใดรู้เข้าเจ้าต้องเป็นอันตรายแน่” ลี่อินพูดขึ้นอย่างกังวล
“ข้าไม่พูด ท่านไม่พูด ผู้ใดจะเล่าเจ้าค่ะ” ลี่อินคิดตามสิ่งที่บุตรสาวพูดก็เห็นว่าเป็นจริง จึงได้คลายความกังวลลง
เมื่อเกลือในกระด้งเย็นลงแล้วลี่อินก็รีบนำไหที่ใช้ใส่เกลือมาเก็บเข้าไปทันที แล้วรีบอุ้มไปซ่อนไว้ภายในห้องของนางอย่างรวดเร็ว จือหลินได้แต่ส่ายหัวให้กับความขี้ขลาดของมารดา
แต่นางไม่คิดจะเอ่ยห้าม หากสิ่งที่นางทำนั้นทำให้นางสบายใจก็ปล่อยให้นางได้ทำไป
กว่าเกลือในกระทะจะระเหยจนแห้งหมดก็กินเวลาไปทั้งค่อนคืน สองแม่ลูกจัดการเก็บข้าวของทุกอย่างเข้าที่จนเรียบร้อยก็ลากสังขารกลับเข้าไปนอนในห้องอย่างรวดเร็ว
วันต่อมาจือหลินนางจัดได้จัดการหมักเกลือกับเนื้อที่เหลือของนางเสียที เนื้อแห้งถูกแขวนตากแดดอยู่ชานเรือน จือหลินนั่งมองท้องฟ้า สภาพแวดล้อมในเรือนอย่างปลงตก เมื่อไหร่ร่างกายของนางจะเติบโตเสียที จะได้คิดหาทางหาเงินเพื่อซ่อมแซมเรือน
ถึงจะขึ้นเขามาหลายหนหลังจากที่เก็บดินกลับมาทำเกลือ สวรรค์ก็ยังไม่ส่งโชคมาให้นางได้พบโสมหรือเห็ดหลินจืออย่างในนิยายที่เจ้าหน้าที่ชอบนำมาพูดอวดกันเสียที
หากอยู่ในโลกก่อนนางคงไม่ต้องมากังวลเรื่องความเป็นอยู่เช่นนี้ เพราะมัวแต่กังวลเรื่องการทดลองยาในแต่ละรอบของนางจะมีชีวิตรอดหรือไม่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าความเป็นอยู่ในตอนนี้ดีกว่าเมื่อก่อนที่ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับการทรมานจากยาทดลองหรือไม่
“ท่านแม่ เมืองไกลจากหมู่บ้านมากหรือไม่เจ้าคะ” จือหลินที่ค้นหาความทรงจำจากร่างเดิมเรื่องเดินทางเข้าเมืองไม่พบจึงเอ่ยถามขึ้น
“เจ้าจะไปทำอันใดที่เมือง” ลี่อินเอ่ยถามเสียงแข็งทันที
จือหลินหันไปเลิกคิ้วมองมารดาที่นับตั้งแต่มาภพนี้นางยังไม่เคยเห็นมารดามีน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน
“ข้าแค่อยากรู้ เผื่อวันใดต้องเดินทางเข้าเมือง”
“ไม่ต้องรู้ ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องเข้าเมือง” เมื่อดูจากสีหน้าของลี่อิน จือหลินก็รู้ได้ทันทีว่านางยังฝังใจกับการเข้าเมืองในครั้งนั้น
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วท่านจะนึกถึงเพื่ออันใด มีแต่จะทำให้ท่านเจ็บปวดเท่านั้น หรือท่านไม่ดีใจที่มีข้าเป็นบุตรเจ้าคะ” จือหลินจ้องมองไปที่ลี่อินอย่างหาคำตอบ
“เจ้าเป็นสิ่งเดียวที่แม่ดีใจที่สุดในชีวิต แต่ แต่แม่” ลี่อินปิดหน้าร้องไห้อีกครั้ง
“ข้าขอโทษ ข้าจะไม่พูดเช่นนี้อีก แต่ข้าไม่อยากให้ท่านฝังใจเรื่องในอดีตเจ้าคะ” จือหลินลุกไปลูบหลังปลอบโยนมารดา
“มิใช่ความผิดของเจ้า เป็นแม่ที่ไม่ดีเอง แม่ไม่ควรห้ามเจ้าเช่นนี้ แต่แม่ แม่กลัวจะเกิดเรื่องกับเจ้าอย่างที่แม่เคยโดน”
“ท่านแม่ ท่านคิดว่าจะมีผู้ใดทำอันใดข้าได้อย่างนั้นหรือ”
“แม่รู้ว่าเจ้ามิกลัวสิ่งใด แต่อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้าเพียงสิบหนาวเท่านั้น” ลี่อินมองค้อนบุตรสาวทั้งน้ำตา
จือหลินที่เห็นสายตาของมารดาก็ได้แต่ลูบจมูกแก้เก้อ อย่างที่มารดาว่าไม่ผิด นางในตอนนี้มีรูปร่างเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น
จือหลินที่ไม่รู้จะทำอันใดในทุกวันของนางก็ยังคงเสี่ยงโชคขึ้นเขาอยู่ทุกวัน จนชาวบ้านที่มาหาของป่า ต่างพบเห็นนางขึ้นเขาเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่รู้เวลากลับของนางเท่านั้น เพราะพวกเขากลับเรือนหมดแล้วนางยังไม่ลงมาจากบนเขาเลย
เมื่อได้รับสารอาหารที่มากขึ้นในแต่ละวัน จือหลินนางก็มีพละกำลังที่จะออกเดินขึ้นเขาที่รกชัฏได้ไกลขึ้น ครั้งนี้นางขึ้นมาจนพบน้ำตกด้านบนเขาและยังมีถ้ำอยู่ด้านในอีกด้วย
สัตว์ใหญ่ที่สุดที่นางพบเห็นก็คงเป็นเพียงหมูป่าและกวางเท่านั้น แต่หากไม่มีตัวใดที่คิดจะเข้ามาทำร้ายนาง นางก็ไม่คิดจะฆ่าพวกมัน เพราะนางไม่รู้จะแบกลงเขาไปอย่างไรต่างหาก
ยังดีที่ในการขึ้นเขาแต่ละครั้งของจือหลินนางมักจะเตรียมพร้อมเสมอ เผื่อจะเกิดเรื่องฉุกเฉินอะไรขึ้น ครั้งนี้นางก็นำตะบันไฟติดตัวมาด้วย เมื่อหายางไม้มาทาตรงด้านบนของกิ่งไม้แล้วนางก็จุดไฟเพื่อเดินเข้าไปดูด้านในของถ้ำ
ภายในถ้ำมืดจนแสงจากด้านนอกไม่อาจส่องเข้ามาได้ จือหลินนางไม่หวาดกลัวความมืด เพราะถูกฝึกมาจนไม่รู้ว่าในชีวิตนี้นางจะต้องหวาดกลัวสิ่งใดได้ แม้แต่ซอมบี้ที่คิดว่ามีเพียงในนิยายนางยังเป็นผู้ที่ทำการทดลองผิดพลาดจนเกิดขึ้น
จือหลินชูคบไฟที่นางทำขึ้นเหนือศีรษะของนาง เมื่อสำรวจภายในถ้ำแล้วไม่พบเจอสิ่งใด แสงไฟที่สาดส่องไปทั่วทั้งถ้ำทำให้นางเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ตามผนังถ้ำได้ดีขึ้น
“พระเจ้า” จือหลินร้องขึ้นเบาๆ