บทที่ 5
ลี่อินเลิกถามบุตรสาวแล้วว่านางรู้วิธีทำได้อย่างไร แต่หันมาช่วยเหลือนางแทน เมื่อเห็นว่ากระทะใบใหญ่ที่นางหาได้ร้อนกำลังดี จือหลินจึงให้มารดาเทน้ำที่กรองเรียบร้อยแล้วลงในกระทะเพื่อต้ม
นางไม่ได้อยู่เฝ้าตลอดเวลา แต่หันไปเก็บเรือนต่อแทน เพราะเกลือต้องต้มจนกว่าน้ำทั้งหมดจะระเหยไปจนเหลือเพียงเกล็ดเกลือสีขาวเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลานั่งเฝ้า
จือหลินลงมือถางหญ้ารอบเรือน โดยมีลี่อินที่ร่างกายเริ่มใช้แรงได้แล้วแต่ก็ยังไม่มาก เก็บกวาดภายในเรือน
เพียงครึ่งวันก็ทำได้ไม่ถึงครึ่ง ทั้งสองจึงหยุดมือแล้วรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มพลังเสียก่อน
“ท่านแม่ท่านดูฟืนด้วยนะเจ้าค่ะ” จือหลินร้องบอกมารดาให้ดูฟืนอย่าให้มอด ก่อนที่นางจะออกจากเรือนไปเก็บฟืนที่ตีนเขาไม่ไกลจากหลังบ้าน
“ยังไม่ตายอีกรึ” เสียงด้านหลังดังขึ้น
ทำให้จือหลินที่กำลังก้มเก็บฟืนอยู่ต้องหันกลับไปมองอย่างสงสัย ตะวันตรงหัวเช่นนี้ยังมีผู้ใดออกมาหาฟืนเช่นนางอีก
“แล้วเห็นหรือไม่เล่าว่าข้าตายหรือไม่” เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดจือหลินจึงสวนกลับไปอย่างไม่ยอม
“หึ ปากดีเช่นนี้สมควรตายไปเสีย” อี้เฉินจ้องมองจือหลินด้วยแววตาที่ดุดัน
“เช่นนั้นหรือ หากผู้อื่นรู้ว่า เด็กน้อยเช่นเจ้าคิดจะฆ่าคนจะเกิดสิ่งใดขึ้น” จือหลินกอดอกพูดอย่างท้าทาย
“เจ้ากล้ารึ” อี้เฉินตวาดกลับเสียงดัง
“จะลองดูหรือไม่เล่า ชื่อเสียงของเจ้าคงมีแต่คนไม่กล้ามาสู่ขอ” จือหลินรู้ดีว่าชื่อเสียงของสตรียุคนี้สำคัญมากเพียงใดจึงนำมาใช้ขู่อี้เฉิน
แล้วก็ได้ผลเมื่ออี้เฉินทำหน้าประหลาดออกมาจากไม่เชื่อว่าจือหลินจะกล้าข่มขู่นาง
“ผู้ใดจะเชื่อเจ้า มารดาของเจ้ากล้าอ้าขาให้บุรุษที่ใดก็ไม่รู้กระทำจนตั้งท้อง คลอดเด็กเช่นเจ้าออกมา” อี้เฉินตอบโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน ยิ่งเห็นใบหน้าของจือหลินที่สลดลงนางก็เริ่มพ่นคำหยาบคายออกมาไม่ยั้ง
“โอวโยว แม่หนูเฉิน ผู้ใดสอนเจ้าให้พูดเช่นนี้ออกมาได้”
“เป็นเพียงแม่นางน้อยพูดเรื่องเช่นนี้ไม่อายปากเลยหรือ”
เพราะจือหลินเห็นชาวบ้านที่กลับเรือนไปพักผ่อนกำลังกลับไปที่นาของตนนางจึงยอมปล่อยให้อี้เฉินพ่นคำพูดน่ารังเกียจออกมาได้อย่างเต็มที่
"ไม่ใช่นะเจ้าค่ะ ข้ามิได้พูด" อี้เฉินรีบส่ายหน้าอย่างลนลาน
นางเป็นหลานสาวของผู้นำหมู่บ้านต่อไปบิดาของนางก็จะเป็นผู้นำหมู่บ้าน หากชาวบ้านเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านปู่และบิดา นางต้องโดนลงโทษเป็นแน่
บิดาของนางยิ่งไม่ได้รักใคร่มารดาของนางอยู่ด้วย ที่ต้องแต่งกลับมารดาของนางเพราะผิดหวังจากมารดาของจือหลิน ผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลจึงเปลี่ยนตัวเจ้าสาว
“ข้าได้ยินกับหู คงต้องบอกบิดาเจ้าให้สั่งสอนเสียแล้ว” อี้เฉินตื่นตระหนกจนทำสิ่งใดไม่ถูก นางที่กำลังร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะชาวบ้านเดินจากไปไกลแล้ว
ก่อนที่ชาวบ้านจะเดินจากไปยังส่งสายตาเห็นใจมาทางจือหลินอีกด้วย
“เจ้า เจ้า เหตุใดถึงไม่บอกข้าว่ามีผู้อื่นเดินมาทางนี้” อี้เฉินหันมาโทษจือหลินแทน
“แล้วเหตุใดข้าต้องเตือนเจ้าด้วยเล่า” จือหลินยกยิ้มเยาะเย้ยนาง
อี้เฉินที่ทำอันใดไม่ได้ ก็กระทืบเท้าอย่างอารมณ์เสียก่อนจะวิ่งกลับเรือนไป จือหลินนางหยิบก้อนหินเล็กๆ ขึ้นมาแล้วดีดออกไปที่ข้อเท้าของอี้เฉินอย่างแม่นยำ
“โอ๊ย” อี้เฉินล้มกระแทกลงพื้น นางส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ก่อนจะหันมาทางจือหลิน เพื่อกล่าวโทษนาง
แต่ตัวของจือหลินก็อยู่ไกลเกินกว่าที่จะยื่นขาไปสกัดให้นางล้มได้ และยิ่งเห็นท่าทางของจือหลินที่ยักไหล่อย่างไม่สนใจก็ยิ่งทำให้โทสะของอี้เฉินพุ่งขึ้นสูง
ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างเดินเข้ามาดูว่าอี้เฉินได้รับบาดเจ็บมากเพียงใดหรือไม่ แต่เมื่อเห็นเพียงหัวเข่าของนางแตกก็คิดจะเดินจากไป แต่อี้เฉินกลับลุกขึ้นยืนไม่ได้ ข้อเท้าของนางที่ถูกก้อนหินของจือหลินดีดใส่บวมเป่งอย่างน่ากลัว
“นางทำข้าเจ้าค่ะ” อี้เฉินฟ้องชาวบ้านที่เขามาช่วยเหลือนางทันที
“แม่หนูเฉิน หลินเออร์จะทำเจ้าได้อย่างไร นางยืนอยู่ไกลเสียขนาดนั้น” ชาวบ้านต่างส่ายหัวให้อี้เฉินที่ล้มเองแล้วยังโทษผู้อื่น
อี้เฉินที่ยังเป็นเด็กไม่ต่างจากจือหลินก็ไม่รู้จะทำเช่นใดได้แต่ร้องออกมาอย่างคับแค้นใจ
ชาวบ้านที่พาอี้เฉินไปส่งเรือนก็เล่าตามเหตุการณ์ที่พวกตนได้เห็น จางอู๋จ้องหน้าบุตรสาวอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่งรู้คำพูดนางที่ต่อว่าจือหลินเขาก็ยิ่งโมโห
“อยู่แต่ในเรือนเสีย หากออกไปแล้วก่อแต่เรื่อง” จางอู๋เดินสะบัดแขนเสื้อออกจากเรือนไปทันที
จางอู๋เขาเป็นคนรักเก่าของลี่อิน และไม่เคยเชื่อเรื่องที่นางยินยอมไปหลับนอนกับผู้อื่น วันที่เกิดเรื่องเขายังไปถามจากปากของนางด้วยตนเอง
ยิ่งรู้ว่าเป็นจินฮวาที่หลอกนางไปก็โกรธแค้นถึงขั้นจะไปเอาเรื่อง แต่เรื่องนี้ก็ถูกผู้อาวุโสคัดค้าน เพราะไม่มีหลักฐานที่จะไปเอาความผิดกับจินฮวาได้ อีกอย่างทั้งสองตระกูลมีสัญญาหมั้นหมายกันผู้อาวุโสต้องทำตามบรรพชนก่อนที่ให้สัญญาไว้ เขาจึงต้องแต่งกับจินฮวาอย่างเลี่ยงไม่ได้
แม้จะแต่งนางเข้ามาแล้ว เขาที่รังเกียจนางก็ไม่อาจร่วมหอกับนางได้ แต่จินฮวาก็ใช้เล่ห์ของนางวางยากำหนัดเขาจนตั้งครรภ์เป็นจางอี้เฉินขึ้นมา
จางอู๋ที่เดินออกมาจากเรือนอย่างหัวเสียก็คิดอยากจะไปดูสองแม่ลูกที่ท้ายหมู่บ้าน แต่ก็ถูกจินฮวาที่รู้ทันขัดขวางไว้ โดยนางขู่ว่าถ้าหากเขาไปหาสองแม่ลูกที่เรือน นางจะบอกชาวบ้านว่าทั้งคู่คบชู้กัน เพื่อให้สองแม่ลูกอยู่ที่หมู่บ้านต่อไปอีกไม่ได้
จางอู๋จ้องมองใบหน้าของจินฮวาเหมือนอยากจะฆ่านางเสียให้ตายก่อนจะเดินกลับเข้าเรือนไป
จินฮวานางร่ำไห้ออกมาอย่างปวดใจ ไม่รู้ว่าการที่นางแย่งคนรักมาจากญาติผู้น้องคือสิ่งที่นางคิดถูกหรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงความชอกช้ำที่ลี่อินได้รับนางก็เช็ดน้ำตาอย่างนึกสะใจ แล้วกลับเข้าไปดูบุตรสาวแทน