บทที่6 พบพระเอกในนิยาย
ผู้ดูแลเฉินนำทางเสี่ยวหลันจื่อมาที่เรื่อนที่เซียวอี้เหิงพักอยู่หลังจากที่รายงานองครักษ์แล้วนางก็ยืนรอให้เจ้าของห้องอนุญาตให้เข้าพบ
“ลึกลับจริงๆ” เสี่ยวหลันจื่อบ่นคนเดียวเบาๆ แต่ผู้ดูแลเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังได้ยินเขาได้แต่หันมายิ้มแหยๆ ให้นางองครักษ์ที่เข้าไปรายงานออกมาบอกให้เสี่ยวหลันจื่อเข้าไป
“ท่านไม่เข้าไปด้วยหรือ” เสี่ยวหลันจื่อหันมาถามผู้ดูแลเฉิน
“นายท่านให้เชิญแม่นางเข้าไปคนเดียว ผู้ดูแลเฉินให้รอข้างนอก” องครักษ์เฝ้าหน้าประตูตอบ เสี่ยวหลันจื่อมีท่าทางลังเลเล็กน้อย
“แม่นางเจ้าเข้าไปเถอะอย่าให้นายท่านต้องรอนาน ข้าจะรอยู่ข้างนอกนี่แหละ” เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้าจากนั้นก็เข้าประตูไป
เสี่ยวหลันจื่อเดินเข้าไปในห้องใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างปรานีตงดงาม คิดในใจว่าคนๆ นี้จะต้องร่ำรวยขนาดไหนนะ ของที่ตกแต่งภายในห้องล้วนดูราคาแพง แค่ห้องนี้ห้องเดียวก็ใหญ่กว่าบ้านที่นางอยู่ถึงสามเท่า
เสียงเคลื่อนไหวด้านในทำให้ เสี่ยวหลันจื่อหลุดจากความสนใจที่จะสำรวจห้องอันวิจิตรนี้ ด้านหน้าของนางมีฉากกั้นขนาดใหญ่วางอยู่ทำให้ไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ข้างใน
“แค่มาขายโสมเหตุใดต้องทำให้วุ่นวายขนาดนี้” เสี่ยวหลันจื่อพึมพำกับตนเองแต่เซียวอี้เหิงที่ฝึกวรยุทธ และมีพลังลมปราณที่ลึกล้ำย่อมได้ยินเสียงพูดเบาของนาง เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ เขาอยากรู้นักถ้านางได้เห็นหน้าเขาอีกครั้งจะทำหน้าอย่างไร
“เขามาใกล้ๆ” เสียงเรื่อยเฉื่อยทุ้มนุ่มดังออกมาจากหลังฉากกั้น ทำเอาเสี่ยวหลันจื่อจินตนาการหน้าตาของคนที่อยู่อีกฝั่งหลังฉากกั้นไปไกล เสี่ยวหลันจื่อขยับไปใกล้ฉากกั้นอีกหน่อย เสียงถอนหายใจอย่างรำคาญดังขึ้นเบาๆ
“ข้าหมายถึงให้เจ้ามาอีกฝั่งของฉากกั้น”
“ออ แล้วก็ไม่บอก” เสี่ยวหลันจื่อส่งเสียงงืมงำออกไป
เมื่อเสี่ยวหลันจื่อเดินอ้อมฉากกั้นเข้าไปเห็นบุคคลที่มีเสียงทุ้มน่าฟังคนนั้นนั่งชันเข่าพิงหมอนใบใหญ่อยู่บนเบาะพร้อมกับมีเสือดำตัวมโหฬารนอนอยู่ข้างๆ นางถึงกับตกใจจนปากอ้าตาค้าง
ดวงตากลมโตสุกใสจับจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างไม่สามารถกระพริบได้สองสายตาประสานกัน ดวงตาลึกลับคู่นั้นเป็นประกายคมกริบ เต็มไปด้วยความเย็นชาและโหดเหี้ยม เสี่ยวหลันจื่อจะลืมดวงตาคู่นี้ได้อย่างไรดวงตาที่เหมือนผุดขึ้นมาจากนรก ดวงตาคู่นี้ทำให้นางนึกถึงความฝันที่อยู่ในคุกใต้ดินนั่น
เสี่ยวหลันจื่อขาอ่อนแรงจนล้มลงและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ความทรงจำของอวี้ซูเหยาที่นางได้รับมันเหมือนกับว่ามันเป็นความทรงจำของนางเอง
เนิ่นนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ที่นางจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา เสี่ยวหลันจื่อหลุดจากภวังค์ เป็นไงเป็นกันก็แค่ตายอีกรอบมีอะไรต้องให้กลัว
เสี่ยวหลันจื่อลุกขึ้นยืนด้วยขาอันสั่นเทา ดวงตากลมโตเป็นประกายแน่วแน่ไร้ความหวาดกลัว
“ท่านต้องการอะไรจากข้า สิ่งที่ข้าได้ทำลงไปข้าล้วนชดใช้ให้กับท่านไปหมดแล้ว ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรติดค้างท่านอีก”
เสี่ยวหลันจื่อเชิดหน้าขึ้นพูดด้วยท่างทางเย่อหยิ่งทั้งที่ในใจกลับเต้นรัว แทบจะทะลุออกมาจากอก
“เจ้าบอกว่าจบก็จบหรือ” เซียวอี้เหิงเลิกคิ้วถามนาง
“แล้วท่านต้องการให้ข้าทำอะไร บอกไว้ก่อนนะ หากท่านคิดจะจับตัวข้าไปทรมานอีก ข้าขอสู้ตาย”
“หึ....สตรีอย่างเจ้านะหรือ”
“สตรีอย่างข้ามันทำไม” เสี่ยวหลันจื่อตวาดแหวออกไป
“อ่อนแอ เจ้าเลห์ มารยา ตอนนี้รู้จักใช้วิธีต่อต้านแล้วหรือ ดีนี่”
เซียวอวี้เหิงตอบกลับนางด้วยใบหน้าเรียบเฉยดวงตาที่ลึกล้ำเหมือนยามรัตติกาลนั้นยากจะอ่านออก เสี่ยวหลันจื่อกำหมัดแน่นด้วยความโมโห แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
“ท่านต้องการอะไร” นางถามเขาอีกครั้ง
“กลับไปกับข้า” แน่นอนว่าคำตอบของนางคือ ไม่! ใครจะอยากลับไปเจอขุมนรกนั่นอีก
ถ้าหากเป็นอวี้ซูเหยาคนก่อนอาจจะตอบตกลงยอมกลับไปกับเขา แต่นางไม่ใช่อวี้ซูเหยานี่นา นางคือเสี่ยวหลันจื่อและนางยังไม่พร้อมทำหน้าที่ตัวละครลับนะ เงื่อนไขคือนางต้องไม่ตาย ถ้ายอมกลับไปกับเขารับรองไม่เกินชั่วยามนางได้ตายแน่
“ไม่เอา ข้าไม่มีทางกลับไปกับท่านแน่ หลังจากที่ถูกท่านทรมานจนเกือบตาย ข้าก็สาบานกับตนเองว่าจะไม่มีวันไปเหยียบที่จวนชินอ๋องของท่านอีก” เสี่ยวหลันจื่อปฏิเสธอย่างชัดเจนและเด็ดขาด
“อ้อ อีกอย่างตอนนี้ข้าชื่อเสี่ยวหลันจื่อไม่ใช่อวี้ซูเหยา โปรดรับรู้ด้วย”
“อ้อ............ได้ แต่เจ้าก็ยังติดค้างข้าอยู่ดี” เซียวอี้เหิงยกชาขึ้นจิบแล้วเอ่ยเสียงเรียบกับนาง
“ติดค้าง ติดค้างบ้าบออะไรกัน ในตอนนั้นท่านให้คนของท่านทรมานข้าจนตายไปแล้ว ข้ายังจะมีอะไรให้ติดค้างกับท่านอีก ถ้าหากว่าสวรรค์ไม่ใจดีมอบชีวิตใหม่ให้ข้าป่านนี้ตัวข้าคงเป็นปุ๋ยอยู่ใต้ก้นหลุ่มนั่นไปแล้ว”
เสี่ยวหลันจื่อตะโกนอย่างเหลืออดให้กับความหน้าด้านของเขา เซียวอี้เหิงไม่สนใจความเกรี้ยวกราดของนาง เพราะตอนนี้ร่างกายของเขาใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
“มานี่” เซียวอวี้เหิงกวักมือเรียกเสี่ยวหลันจื่อให้เข้ามาหาเขา
“ท่านจะทำอะไรข้า” เสี่ยวหลันจื่อขยับถอยหลังระวังตัวแจกลัวว่าเขาจะทำร้ายนาง
“ข้าบอกให้มาก็มาเถอะ เร็วเข้า” เสี่ยวหลันจื่อยังไม่ยอมขยับตัว เจ้าเสือดำที่นอนอยูด้านข้างของเซียวอี้เหิงเหมือนจะรับรู้ถึงความต้องการของเจ้านายของมัน มันลุกขึ้นเดินเยื้องย่างมาทางที่เสี่ยวหลันจื่อยืนอยู่อย่างช้าๆ และเปล่งเสียงคำรามเบาๆ เป็นเชิงเตือนนาง
เสี่ยวหลันจื่อที่เห็นเจ้าสัตว์ตัวมหึมาเดินมาหาตนเองนางก็ตัวเกรงขึ้นมาทันที รีบขยับเท้าก้าวไปหาเซี่ยวอี้เหิงที่นอนอยู่ เซียวอี้เหิงที่เห็นเสี่ยวหลันจื่อเดินมาหาตนเองเขาก็ยื่นมือออกไป
ดึงร่างของนางเข้ามาในอ้อมแขนแล้วกอดนางแนบอก เสี่ยวหลันจื่อที่เห็นตนเองถูกลวนลามจึงคิดที่จะสู้ตายกับเขาแต่สิ่งที่นางได้ยินคือเสียงกรนเบาๆ ของคนที่นอนทับอยู่บนตัวนาง เสี่ยวหลันจื่อพยายามดันเขาออกไปจากตัวเองนางทั้งตีทั้งข่วนแต่ร่างใหญ่กลับไม่ไหวติงคล้ายกับคนนอนหลับลึก มีเพียงเสียงลมหายใจกับการขยับขึ้นลงของหน้าอกที่ทำให้นางรับรู้ว่างเซียวอี้เหิงยังไม่ตาย
ไม่รู้ว่าเซียวอี้เหิงหลับไปนานแค่ไหนจนกระทั่งเขาตื่นขึ้นมาจึงพบว่ามีร่างเล็กนุ่มนิ่มกำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของเขา
เซียวอี้เหิงไม่ได้ขยับตัวหรือส่งเสียงใดๆ แต่กำลังสังเกตใบหน้าเล็กๆ นั่น คิ้วโก่งได้รูปรับกับจมูกเล็กโด่งเชิดรั้น แลดูเอาแต่ใจ ขนตาของนางเรียงตัวเป็นแพหนา ดวงตากลมโตที่เขาได้เห็นแล้ว รู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ ริมฝีปากเล็กอวบอิ่มแดงระเรื่อเผยอน้อยๆ ยามหลับ เชิญชวนให้คนอยากลิ้มลอง ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือผิวที่ขาวจัดเนียนละเอียดไร้จุดด่างดำบนใบหน้า ลำคอเล็กยาวระหง
เซียวอี้เหิงมองลงไปถึงห้าอกที่ใหญ่เกินตัวของเสี่ยวหลันจื่อที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงตามการหายใจของนาง ทำให้พานคิดไปถึงคืนนั้นที่สระน้ำพุร้อน แล้วความร้อนสายหนึ่งก็พุ่งปราดเข้ามาที่ท้องน้อยของเขา ความต้องการที่เขาปฏิเสธมาโดยตลอดเมื่ออยู่ในความฝันตอนนี้เขากลับอยากทำมันจนแทบทนไม่ไหว เชียวอี้เหิงรู้สึกร้อนผ่าวมากขึ้นทุกที