บทที่5 ตามหาศพ
ผู้ดูแลเฉินเดินออกไปด้านหลังของเริ่นโส่วถัง ทะลุสนามหญ้าข้ามไปอีกฝั่งที่มีประตูบานใหญ่สีแดง ด้านในเป็นเรือนสี่ประสาน สวนตรงกลางถูกตกเเต่งอย่างสวยงาม
ผู้ดูแลเฉินเดินเข้าไปในเรือนที่มีห้องหลักอยู่ตรงกลาง กระซิบบอกองครักษ์ร่างใหญ่ที่ยืนเฝ้าหน้าประตู ไม่นานองครักษ์ก็มาตามเขาให้เข้าไปข้างใน ผู้ดูแลเฉินเดินเข้าไปในห้องหลักจากนั้นเขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นมีเบาะนุ่มรองอยู่เขาเอนกายชันเข่าพิงหมอนใบใหญ่ด้วยท่าทางเกียจคร้าน
ผมยาวดำขลับคล้ายกับสีดวงตาที่ทั้งดำและดูลึกลับราวกับยามรัตติกาลไร้ที่สิ้นสุด ถูกรวบเอาไว้ด้านหลังอย่างหลวมๆ ดวงตาคมใต้เรียวคิ้วเข้มหนาที่โก่งรับกับจมูกโด่งเป็นสันสะกดสายตา ใบหน้า คมเข้มด้านข้างมองเห็นสันกรามได้อย่างชัดเจน ริมฝีปากบางที่เม้นน้อยๆ แลดูเอาแต่ใจ ไรหนวดที่ขึ้นเขียวบางๆ ทำให้ใบหน้าดูหล่อเหลาและยั่วยวนในเวลาเดียวกัน
ลำคอยาวรับกับลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างพอดี ผิวขาวผ่องดูเรียบลื่นของหน้าอกเลยลงไปถึงหน้าท้องที่มีมัดกล้ามเป็นลอนอย่างสวยงามไม่มากไม่น้อยโผล่พ้นชุดดำที่เปิดอ้าออกคล้ายตั้งใจยั่วยวนผู้ที่ได้พบเห็น
มือเรียวยาวที่โผล่พ้นชุดมองเห็นข้อนิ้วอย่างชัดเจนกำลังถือจอกเหล้าคลึงไปมา มืออีกข้างลูบขนเงางามที่ถูกดูแลอย่างดีของเจ้าสัตว์ร้ายตัวมหึมานัยน์ตาสีเหลืองอำพันที่นอนหมอบอยู่ข้างเจ้านายของมันอย่างสงบนิ่ง
ผู้ดูแลเฉินกลืนน้ำลายเล็กน้อย เหงื่อเม็ดโตผุดพรายบนใบหน้าอย่างยากจะควบคุม
ปีศาจ นี่มันปีศาจจอมล่อลวงชัดๆ ในโลกใบนี้ยังจะมีใครดูดีได้ถึงเพียงนี้อีกแล้วหรือไม่ ช่างเกิดมาให้นรกริษยาเทวดารังเกียจจริงๆ
เสียงทุ้มนุ่ม ดั่งเครื่องดีดโบราณชั้นดีที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ ดังเอื่อยเฉื่อยขึ้น
“มองพอแล้วหรือยัง” ผู้ดูแลเฉินถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกจับได้ว่าแอบมองนายเหนือหัวของตน
“มีอะไรก็พูดมาแล้วก็เลิกทำท่าทางเขินอายเหมือนดั่งสาวน้อยริเริ่มรักเช่นนี้” ผู้ดูแลเฉินสะดุ้งอีกครั้ง
แม้แต่ฝีปากก็เหนือกว่าผู้คนในใต้หล้า เขาบ่นในใจคนเดียว
“คือ..... มีชาวบ้านมาขายโสมภูเขาขอรับ”
“ทำไม......แค่มีคนมาขายโสมเจ้าก็ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ถ้าอย่างนั้นข้าจะเก็บเจ้าเอาไว้ให้เปลืองอาหารของข้าทำไม”
“มะ ไม่ใช่ขอรับ คนที่มาขายโสมเป็นชายชราสามีภรรยาและหลานสาว แต่หลานสาวของพวกเขา.....”
ผู้ดูแลเฉินเงียบไปไม่กล้าพูดออกมา เพราะผู้ใต้บัญชาของชายหนุ่มผู้นี้ต่างรู้ว่าในระยะนี้ที่นายท่านของพวกเขาอารมณ์ไม่ดีหน้าดำคล่ำเครียดหงุดหงิดตลอดเวลาเพราะเรื่องอะไร
“พูด” เสียงเด็ดขาดตวาดก้องดังขึ้น แม้กระทั่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูยังสะดุ้งตาม
“น.....นางดูคล้ายกับคนที่เรากำลังตามหาขอรับ แต่ข้าน้อยไม่แน่ใจ” ร่างสูงลุกขึ้นยืนทันที
เจ้าเสือดำที่นอนสงบนิ่งผงกหัวอันใหญ่โตขึ้นส่ายไปมาพ่นลมหายใจฟืดฟาดคล้ายกับมันรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเจ้านายของมันที่กำลังพลุ่งพล่าน
“นางอยู่ที่ไหน” เซียวอี้เหิง ที่ยืนจังก้าส่งสายตาคมกริบประหนึ่งรัตติกาลกำลังมาเยือนไปยังผู้ดูแลเฉิน ผู้ดูแลเฉินที่ตอนนี้เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้าจนเปียกโชกไปทั้งกาย ความรู้สึกของเขาตอนนี้เหมือนถูกเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงไปทั่วร่าง
“นางอยู่ที่ห้องรับรองของเริ่นโส่วถังขอรับ” ในที่สุดผู้ช่วยเฉินก็หาเสียงตนเองจนพบและเปล่งออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ดี ไปพาตัวนางมาให้ข้า”
ผู้ดูแลเฉินรีบออกไปจากห้องอย่างลนลาน ลืมแม้กระทั่งทำความเคารพก่อนจากไป
เมื่อเขาออกมาจากห้องหลักที่เหมือนกับขุมนรกนั้นแล้วก็ได้แต่ลูบอกยกมือปาดเหงื่ออย่างหวาดกลัว
องครักษ์ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องหลักมองผู้ดูเเลเฉินอย่างเห็นใจ
หนึ่งเดือนมานี้ไม่ว่าใครก็เข้าหน้าท่านอ๋องไม่ติดแม้แต่ฮ่องเต้หยวนหมิงที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขายังถูกชินอ๋องผู้นี้ชักสีหน้าใส่ สาเหตุที่ท่านอ๋องมีอาการเช่นนี้
ทั้งหมดมันเริ่มขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน หลังจากที่เซียวอี้เหิงสั่งให้คนเฆี่ยนอวี้ซูเหยาจนตาย จากนั้นในตอนที่เขาเข้านอนได้ฝันไปว่าอวี้ซูเหยากลับมาและนางได้หลับนอนกับเขา ตัวเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้ แม้ในใจของเขาจะปฏิเสธมันแค่ไหนก็ตามแต่ในช่วงสุท้ายก่อนที่นางจะจากไปร่างกายเปลือยเปล่าของนางเต็มไปด้วยรอยแส้ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด เสียงร้องไห้ของนางดังก้องในโสตประสาทของเขา จากนั้นเซียวอวี้เหิงจึงได้สติตื่นขี้นมาและพบว่าตนเองนอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน
เขาเรียกองครักษ์ที่เฝ้าประตูมาสอบถามว่าใครเป็นคนพาเขามานอนที่นี่และได้ความว่า ท่านอ๋องเดินมาที่บ่อน้ำพุร้อนด้วยตัวเอง เซียวอี้เหิงแย้งว่าเป็นไปไม่ได้ องครักษ์ทั้งสองมองหน้ากัน จึงตอบว่าพวกเขาทำความเคารพและท่านอ๋องยังพยักหน้าให้ก่อนเดินเข้าไปด้านใน
หลังจากคืนนั้น เหตุการณ์ที่บ่อน้ำพุร้อนก็เกิดขึ้นซ้ำๆ จนกระทั่งผ่านไปสิบวันเซียวอี้เหิงแทบจะไม่ได้นอนเพราะทุกครั้งที่เขาหลับตาภาพของเขาที่ร่วมหลับนอนกับอวี้ซูเหยาจะผุดขึ้นมาในหัวตลอดอย่างไม่สามารถควบคุมได้
แม้จะให้องครักษ์เฝ้าหน้าห้องของเขาหรือแม้กระทั่งมัดตัวเองติดกับเตียงแต่ความฝันนั้นก็ยังตามมาหลอกหลอนเขาอยู่ดี
“ท่านอ๋อง ข้ารู้จักซินแสอยู่ท่านหนึ่งเราลองเชิญให้เขามาปัดเป่าวิญญาณที่จวนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซียวอี้เหิงที่ไม่เคยเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ เหลือบตามองฉีเยี่ยนปราดหนึ่ง “อืม” เขาตอบเสียงเนือยๆ ออกมา
ความจริงฉีเยี่ยนคิดว่าท่านอ๋องจะต้องปฏิเสธแน่ๆ แต่ไม่นึกว่าจะยอมทำตามคำแนะนำของเขา ฉีเยี่ยน องครักษ์คนสนิทที่อยู่ข้างกายเซียวอี้เหิงมาตั้งแต่เด็ก รีบจัดการตามคำสั่งของเซียวอี้เหิงทันที
แต่ถึงจะหาซินแสมากี่คนสุดท้ายก็ยังไม่ได้ผลอยู่ดี เพราะเขายังคงฝันถึงอวี้ซูเหยาซ้ำไปซ้ำมา แล้วเรื่องที่จวนชินอ๋องเชิญซินแสมาทำการปัดรังควานก็แพร่กระจายออกไป จนไปถึงหูไทเฮา ไม่นานไทเฮาก็สั่งให้ขันทีข้างกายตามเซียวอี้เหิงเข้าวังไปสอบถามซึ่งเขาก็ตอบไปตามความจริง
“ตายแล้วก็ตายไปเหตุใดนางจึงยังมารังควานเจ้าอีก”
“ลูกไม่ทราบ” เซียวอี้เหิงตอบพระมารดาของตนด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เพราะเขาไม่ได้นอนมาหลายวัน ใต้ตาดำคล้ำ แม้แต่หนวดเคราก็ขึ้นมาจนเขียวครึ้มเพราะเขาไม่ใส่ใจจะดูแลมัน ไทเฮารู้สึกปวดใจไม่น้อยที่เห็นบุตรชายคนเล็กได้รับความทรมานเช่นนี้
เซียวอี้เหิงเป็นบุตรชายคนเล็กของนางที่มีตอนอายุมากแล้วก่อนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนจะสวรรคตจากไปนางจึงรักเขามาก
หลังจากเซียวอี้เหิงออกจากวังไปไทเฮาก็มีรับสั่งให้จางเต๋อฉวน ขันทีคนสนิท ไปเชิญไต้ซือเสวียนคงเจ้าวาสวัดสือซานที่ไทเฮานับถือ และวัดสือซานเป็นวัดที่ไทเฮาไปขอพรให้มีลูกชาย พระนางจึงเลื่อมใสและไปปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ทุกปี ขันทีจางเมื่อรับคำสังจากไทเฮาก็นั่งรถม้าออกจากวังหลวงไปทันที โดยไม่รอช้า และเรียนเชิญไต้ซือเสวียนคงมาที่จวนชินอ๋อง
เซียวอี้เหิงที่หมดหวังเรื่องการใช้ไสยศาสตร์มาแก้ปัญหาแล้วจึงไม่ได้สนใจไต้ซือเสวียนคงนักไต้ซือเสวียนคงไม่ถือสาเขาแม้แต่น้อยใบหน้ายังคงยิ้มน้อยๆ เป็นปกติของตน
“ท่านอ๋องอาตมาขอคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่” เซียวอี้เหิงมองไต้ซือเสวียนคงนิ่งอย่างต้องการอ่านความคิด ว่าพระชรารูปนี้ต้องการทำอะไร จากนั้นเขาก็พยักหน้า และโบกมือให้องครักษ์ออกไป เมื่อในห้องที่เหลือเพียงสองคน เซียวอี้เหิงและไต้ซือเสวียนคงแล้ว ไต้ซือเสวียนคงก็เอ่ยขึ้นว่า
“นางไม่ยินยอมจากไป นางยึดมั่นในตัวท่าน มีทางเดียวคือต้องทำให้นางสมปารถนา แต่ท่านจะบังคับนางไม่ได้ ต้องให้นางเต็มใจด้วนตนเอง” เซียวอี้เหิงไม่เข้าใจคำพูดปริศนาที่พระชรารูปนี้เอ่ยกับเขา แต่ก็ยังพอเข้าใจได้ว่านางที่ไต้ซือเสวียนคงเอ่ยถึง คืออวี้ซูเหยา
“นางตายไปแล้ว ข้าไม่สามารถทำให้นางสมปรารถนาได้” เซียวอวี้เหิงคิดว่าพระชรารูปนี้จะต้องเป็นพวกสิบแปดมงกุฎเหมือนซินแสพวกนั้นแน่นอน ไต้ซือเสวียนคงยังคงยิ้มน้อยๆ ในใบหน้าไม่สนใจสายตาดูแคลนของเซียวอี้เหิง และยังคงพูดต่อไป
“ทั้งตายแล้วและยังไม่ตาย มีเพียงนางคนเดียวที่สามารถทำให้ท่านหยุดฝันถึงเรื่องนั้นได้”
พระชราพูดจบก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจสายตามที่มีแต่คำถามของเซียวอี้เหิง เมื่อพระชรากลับไปพร้อมขันทีจางแล้วเซียวอี้เหิงก็เรียกองครักษ์คนสนิทมาถามว่าใครเล่าเรื่องความฝันของเขาให้ไต้ซือเสวียนคงฟัง
“อาจจะเป็นขันทีจางก็ได้นะพะยะค่ะ” ฉีเยี่ยนตอบ
“ไม่ใช่ เรื่องนี้เราเล่าให้เพียงเสด็จแม่ฟังเท่านั้น อีกอย่างเรื่องที่จะทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียเกียรติ เสด็จแม่ไม่มีทางทำแน่”
เซียวอี้เหิงยังคงสงสัย แต่ก็ให้ฉีเหลยองครักษ์คนสนิทอีกคนของเขาไปตรวจดูศพที่สุสานร้างนอกเมือง เพราะติดใจคำพูดพระชราที่บอกว่าทั้งตายและไม่ตาย
ไม่นานฉีเหลยกลับมาพร้อมเสื่อที่ใช้ห่อศพของอวี้ซูเหยา แต่ไม่มีศพกลับมา
“ศพนางหายไปแล้วพะยะค่ะ อาจเป็นสัตว์ป่าที่คาบศพไปกินเพราะนี่ก็ผ่านมาสิบกว่าวันแล้วที่นำศพนางไปทิ้งไว้ที่นั่น”
เซียวอี้เหิงกอดอกลูบริมฝีปากบางที่เย้ายวนของตนแล้วเดินไปมา อย่างครุ่นคิด
“ถ้าหากศพของนางถูกสัตว์ป่าคาบไปก็ต้องเหลือร่องรอยไว้ที่เสื่อผืนนี้ ให้คนตรวจสอบอีกที บางที......” เซียวอี้เหิงหยุดคำพูดของตนเองไว้เพียงเท่านั้น นางอาจจะยังไม่ตาย
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เซียวชินอ๋องสั่งคนของเขาทั้งหมดออกตามหาหญิงสาวที่ถูกระบุจากหมอที่เก่งกาจที่สุดของเขาว่าตายไปแล้ว
ไม่ว่าเจ้าจะตายจริงๆ หรือแกล้งตายข้าจะต้องตามหาเจ้าให้พบ ขอเอาเกียรติของชินอ๋องเป็นประกัน