3
จือหรานได้ยินข่าวจากอาหลิน ว่าเซียวอ๋องยังไม่กลับเมืองหลวงฉิน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมเขาไม่รีบกลับไปที่เมืองหลวง
"ยามนี้ เขาไปที่ใด" ในระหว่างที่นวดแป้งซาลาเปานั้นจึงได้ถามสาวใช้
"เซียวอ๋องกำลังจะตั้งค่ายทหารนอกเมืองจินเจ้าค่ะ" แสดงว่าเขาจะอยู่เมืองจินอีกนาน จือหรานถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย นางก็ทำได้เพียงซ่อนสองแฝดให้ดี
นางให้อาหลินไปส่งซาลารอบแรกที่ทำเสร็จตอนเช้า ยามบ่ายค่อยไปส่งอีกเข่ง หลังเวลาที่นางว่างการการทำซาลาเปา
จือหรานได้เรียนรู้การทำถุงหอม ปักถุงหอมขาย นี่ก็เป็นงานที่นางถนัดเช่นกัน
เที่ยงแล้วไม่รู้ว่าสองแฝดหิวข้าวรึยังกระนั้นนางจึงเปิดห้องลับไปหาสองแฝด พร้อมทั้งข้าวต้มหมู
"ท่านแม่มาแล้ว" เสี่ยวเหมยไม่ชอบเอาเสียเลย ที่มารดาขังไว้เช่นนี้
"ท่านแม่ข้าอยากออกไปด้านนอก" เสี่ยวฮวาเอ่ยขึ้น
"ข้างนอกมีคนร้าย พวกเจ้าอย่าได้อยากออกไปเลย รอสักห้าวันค่อยออกไปดีรึไม่" จือหรานหลอกเด็กทั้งสอง เจ้าแฝดยิ้มจนตาหยีให้มารดา ก็ได้พวกนางทั้งสองยอมอยู่ในนี้ก็ได้ จากนั้นสองแฝดก็กินข้าวต้มแสนอร่อยของมารดา
จือหรานเล่นกับสองแฝดอยู่พักใหญ่ จึงรีบออกมาจากห้องลับ กระนั้นนางเดินมาที่หน้าเรือนพบว่า บุปผาที่นางปลูกไว้ เบ่งบานอย่างงดงาม ยามบ่ายนี้ อาหลินเดินเข้ามาพอดี
"คุณหนู กระต่ายเจ้าค่ะ เถ้าแก่เนี้ยคิดว่าสองแฝดคงจะชอบ จึงได้นำมามอบให้สองแฝด" อาหลินยื่นเจ้ากระต่ายสีขาวอ้วนกลมอย่างน่ารักให้เจ้านาย เนี่ยซินคิดว่า เจ้ากระต่ายอ้วนน่าจะเล่นกับเด็ก ๆ ได้ดีเชียวล่ะ
ค่ายทหารนอกเมืองจิน เซียวอ๋องมองกระโจมที่เหล่าทหารตั้งเสร็จแล้ว เขาคิดว่าจะพักอยู่ที่เมืองจินสักระยะหนึ่งถึงจะกลับไปเมืองหลวงฉิน อาจจะหลังปีใหม่ก็ได้
ได้ยินว่าหลายปีมานี้ฟางไห่ คิดถึงเขามากไม่เป็นอันหลับอันนอน เขาไม่ต้องการให้นางมาลำบากกับเขา
ฟางไห่กับเขาเป็นคู่เหมยเขียวม้าไผ่ด้วยกันตั้งแต่เด็ก เขารักนางมาก ไม่อยากให้นางต้องเร่รอนในกองทัพด้วยกันกับเขา
เซียวอ๋องอายุยี่สิบห้าปีแล้ว เขาเก่งเรื่องการรบมากกว่าอ๋องคนอื่น ๆ ยามนี้องค์ชายใหญ่ขึ้นเป็นรัชทายาทแล้ว ทำให้หลายฝ่ายต่างไม่พอใจอย่างมาก เซียวอ๋องเป็นองค์ชายรองในหมู่พี่น้อง เขาเป็นองค์ชายที่เกิดในหยางกุ้ยเฟย ฝ่าบาทฉินเซี่ยนั้นมีองค์ชายมากมายนัก แต่งตั้งเป็นท่านอ๋องทั้งหมดแล้ว
องค์ชายใหญ่ฉินชางยามนี้เป็นรัชทายาทแล้ว เพราะเกิดแด่จางฮองเฮา
อีกทั้งดูท่าท่านอ๋องหลายคนอาจจะไม่พอใจในตัวองค์รัชทายาทอย่างมาก
เซียวอ๋องให้ฟูเหิงส่งพิราบไปหาพระบิดา ว่าเขาจะกลับเมืองหลวงหลังปีใหม่ อีกทั้งเขาปราบชนเผ่าทุ่งหญ้าอย่างเผ่าหนูได้สำเร็จ ที่พวกมันมารุกรานเมืองเถียนที่อยู่ห่างจากเมืองจินไม่ไกลนัก
ตอนที่เขาสังหารชนเผ่าหนู เขาไว้ชีวิตแค่ผู้หญิงกับเด็กไว้ และผู้ที่จำนนเท่านั้น และอีกทั้งให้ผู้นำเผ่าหนู ได้ลงนามสัญญาจะไม่มารุกรานดินแดนฉินอีก
หากว่าผิดคำสัญญา เซียวอ๋องจะสังหารให้หมด ยามนี้แดนเหนือสงบสุขเสียที หลังจากทำสงครามกันเป็นเวลานานนับห้าปี
ยามบ่ายแล้ว มันทำให้เขาหิวข้าวเหลือเกิน ในตอนเช้าที่กินหมูผัดหมาล่า มันทำให้เขาอยากจะกินข้าวอีก คิดได้กระนั้นเซียวอ๋องสั่งให้ฟูเหิงเฝ้าค่ายทหาร ส่วนเขาจะออกไปข้างนอกสักพัก
จือหรานให้อาหลินไปส่งถุงหอมที่ร้านผ้า ยามนี้นางมองตั๋วเงินและเงินก้อนในหีบสีแดง ใบหน้างามพลันระบายไปด้วยรอยยิ้ม
ห้าปีมานี้ นางเก็บสะสมเงินได้เยอะเชียวล่ะ จวนอ๋องไม่ส่งเบี้ยมาให้นาง นางก็ไม่ได้อดตาย เพราะนางคือสตรียุคใหม่ หลายคนในเมืองจินต่างถามนาง ว่าบิดาของสองแฝดไปไหน นางตอบว่า เขาป่วยตายนานแล้ว อีกทั้งนางยังบอกว่า นางคือสาวใช้ของจวนอ๋อง จึงได้ถูกส่งตัวให้มาอยู่ในที่แห่งนี้
โชคดีอย่างหนึ่งที่ชาวเมืองจินไม่ค่อยสนใจเรื่องผู้อื่นมากเท่าใดนัก จือหรานมองเจ้ากระต่าย กระนั้นจึงปิดหีบแล้วยัดใต้เตียงนอน
อุ้มเจ้ากระต่ายเข้าไปในห้องลับ พบว่าเด็กแฝดทำหน้าไม่พอใจ
"ท่านแม่ ข้าไม่อยากอยู่ในห้องนี้ ท่านแม่ให้ข้าออกไปเถอะ" เสี่ยวเหมยทำหน้าอย่างน่าสงสาร เสี่ยวฮวากอดแขรนมารดามองเจ้ากระต่าย
นางบอกกับสองแฝดว่าอีกห้า แต่ยามนี้คงต้องกลับคำแล้วล่ะ เพราะมองตาเจ้าแฝดอดสงสารมิได้
"ก็ได้ ออกจากห้องลับ อยู่ในห้องห้ามออกไปไหน"
"เจ้าค่ะ"
สองแฝดพลันดีใจมากเลย สองแฝดหายใจสะดวกมาก ทั้งอุ้มกระต่ายวิ่งไปมา จือหรานพลันยิ้มอย่างมีความสุข นางมองสองแฝดวิ่งไล่กัน
"จือหราน" เสียงเรียกหน้าเรือนดังขึ้น
สองแฝดจึงหยุดวิ่งมองหน้ามารดา กระนั้นนางรีบให้สองแฝดไปซ่อนในห้องอาบน้ำ
นางจำเสียงนี้ได้ ในความทรงจำเจ้าของร่างเดิม เขาอยู่ค่ายทหารมิใช่รึ เหตุใดเขาจึงมายามนี้
จือหรานเปิดประตูปะทะกับคนร่างใหญ่ จังหวะนั้นเซียวอ๋องได้สบตากับคนงาม เขารู้สึกตัวจึงมองไปโดยรอบ เขาได้ยินนางเหมือนคุยกับใครสักคน
"เจ้าคุยกับใคร"
"ไม่มีเจ้าค่ะ" จือหรานรีบไปอุ้มเจ้ากระต่ายอ้วนทันที
"ข้าคุยกับกระต่าย"
ไม่ได้เจอกันนานมาก นางไม่เปลี่ยนแต่เขาก็ยังเกลียดชังนางเหมือนเดิม
"ไปทำอาหารให้ข้า" กล่าวจบเขาก็สะบัดอาภรณ์เดินออกไป จือหรานหายใจอย่างโล่งอก เกือบแล้วไหมเล่า