ตอนที่ 2 ชาตินี้ก็ฝากด้วยนะ
ไป๋ซูเม่ยเดินออกมาจากกระท่อม สายลมแผ่วเบาที่พัดมายังร่างของสตรีที่นางพึ่งจะมาสวมร่างของนางให้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่ตัวเอง เมื่อเดินไปถึงขอบเนินเขาและเริ่มหลับตาลง ค่อย ๆ กำหนดลมหายใจและเรียกพลังปราณออกมาและปล่อยออกมา
“เฮ้อ…คงต้องเร่งฟื้นฟูสินะ ร่างนี้แม้ว่าจะมีความรู้มากมายเกี่ยวกับยาแต่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ ยังไม่ต้องนับไปถึงการแก้แค้นเลย แค่เดินทางไปเมืองหลวงก็คงเกือบตายแล้ว”
ไป๋ซูเม่ยเริ่มนั่งกำหนดลมปราณและฝึกวิชาทบทวนวรยุทธ์อยู่ราว ๆ เกือบสองชั่วยามจนเริ่มปรับสภาพร่างกายเข้ากับร่างใหม่ได้มากขึ้น นางสามารถระเบิดหินที่อยู่ใกล้ ๆ ได้และเริ่มใช้กิ่งไม้มาฝึกวิชาดาบจนสำเร็จกระบวนท่าไม้ตายที่นางเคยฝึกมาก่อน
“ตูม!!!”
ก้อนหินตรงหน้าและกิ่งไผ่ที่ถูกตัดขาดด้วยกิ่งไม้ในมือนางหลังจากที่นางใช้วิชาขั้นสุดท้ายกระเด็นไปทุกทิศทุกทาง
“พลังปราณและวิชายุทธ์ข้ากลับคืนมาหมดแล้ว แต่ก็ยังเหนื่อยง่ายอยู่ สตรีผู้นี้อ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือเหตุใดจึงได้เหนื่อยง่ายถึงเพียงนี้กันนะ”
นางเดินกลับไปยังลำธารใกล้ ๆ เมื่อก้มหน้าลงไปส่องดูเงาที่สะท้อนในน้ำจึงได้เห็นชัด ๆ ใบหน้าของไป๋ซูเม่ยงดงามไม่มีที่ติ แต่ทว่า….
“แผลเป็นหรือปานกันล่ะนี่ มิน่าเล่าเจ้าถึงได้หนีมาอยู่ที่ห่างไกลถึงขนาดนี้”
แม้ว่านางจะงดงามราวกับสตรีล่มเมืองแต่กลับมีแผลเป็นที่แก้มซ้าย ซึ่งก่อนหน้านี้คงจะใช้ผ้าขาวปิดบังเอาไว้เพราะนางพึ่งใช้ผ้านั่นไปหยิบแมงมุมขึ้นมาจากพื้นจึงมิได้สวมมันอีก
“โชคดีแค่เป็นแผลเท่านั้น ดูเหมือนว่านางก็น่าจะรักษามาก่อนแล้ว เรื่องนี้แค่ใช้กำลังภายในจัดการขับพิษนี่ออกก็หายแล้วมิใช่หรือ ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับข้าเลย”
ว่าแล้วนางก็เริ่มจัดการกับแผลที่แก้มของนางทันทีแม้ว่าจะเป็นแผลที่มิได้ดูน่าเกลียดแต่หากจะทำให้สมบูรณ์แบบ ในชาตินี้นางจะต้องเป็นสตรีที่ผู้ใดพบเห็นจะต้องหันมองจนเหลียวหลังไม่เหมือนชาติที่แล้วที่นางเกิดมาหน้าตาธรรมดาและไม่เคยได้รับการใส่ใจจากบุรุษใดนอกจากองค์ชายผู้นั้น....
“ไป๋ซูเม่ย…ชาตินี้ก็ฝากด้วยนะ…..เสวียนอวี่…..ข้ากลับมาเอาชีวิตเจ้าแล้ว”
“คุณหนูเจ้าคะ เฮ้อ…หาท่านพบเสียที”
อาหยงเดินขึ้นเขามาเพื่อตามหาคุณหนูของนางเมื่อไป๋ซูเม่ยหันไปมองเห็นนางก็รู้ว่าเรื่องนี้นางอาจจะทำได้ไม่รวดเร็วนักเพราะนางมิได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว การเดินทางไปที่เมืองหลวงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก
“อาหยงเจ้าตามข้ามาทำไมหรือ”
“ไป…ไปกินข้าวเถอะเจ้าค่ะ ข้าพึ่งทำอาหารเสร็จ กินตอนร้อน ๆ เจ้าค่ะ”
ไป๋ซูเม่ยยิ้มออกมาด้วยความอบอุ่นใจ นางไม่เคยมีผู้ใดที่คอยดูแลและคอยเป็นห่วงเช่นที่อาหยงทำให้ไป๋ซูเม่ยเช่นนี้มาก่อน นับจากนี้ไปนางจะเป็นไป๋ซูเม่ยคุณหนูของอาหยงและจะดูแลนางอย่างดีที่สุด
กระท่อมไม้ไผ่
“อาหยงข้าคิดว่าเราต้องหาเงิน”
“หาเงินหรือเจ้าคะ หาไปทำไมเจ้าคะ”
“ข้าอยากไปเมืองหลวง”
“อะไรนะเจ้าคะคุณหนู”
“อื้ม อาหารของเจ้าอร่อยมาก ๆ เลย เปิดร้านขายได้เลยนะนี่”
“ไม่ ๆ เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะคุณหนูท่านอย่าพึ่งเปลี่ยนเรื่องสิ ไปเมืองหลวงอะไรกันเหตุใดจึงเร่งด่วนเช่นนี้เจ้าคะแม้ว่าคุณท่านจะใจร้ายที่ไม่ส่งคนมาดูแลท่านแต่ก็มิได้ละเลยนะเจ้าคะ นี่คือตั๋วเงินที่นายท่านฝากข้าให้เอาไว้ดูแลคุณหนู”
“หืม…เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ตั๋วเงินเจ้าค่ะ นายท่านโกรธคุณหนูได้ไม่นานหรอกคุณหนูก็ทราบ ท่านทะเลาะกับนายท่านทีไรก็หนีมาอยู่ที่นี่…คุณหนูเจ้าคะ มีอะไรหรือเจ้าคะ”
ไป๋ซูเม่ยนำตั๋วเงินนั้นมานั่งนับดู นึกไม่ถึงว่าไป๋ซูเม่ยจะมีบิดาที่ดีและยังพอมีความเป็นพ่ออยู่ ตั๋วเงินนี่มีจำนวนไม่น้อยเลย
“ห้าพันตำลึง ยอดเยี่ยมไปเลยข้ารวยแล้ว”
“รวย?? คุณหนู ท่านก็ร่ำรวยอยู่แล้วนี่เจ้าคะ นี่ก็เป็นเครื่องประดับของท่าน ที่จวนก็…..”
“ที่จวนงั้นหรือ อาหยงเจ้าบอกข้ามาทีสิว่าจวนของพวกเราอยู่ที่ใด ไกลจากที่นี่มากหรือไม่”
“ก็…แม้จะไกลแต่หากจ้างรถม้าไป….”
“เช่นนั้นเจ้าจัดการให้ข้าทีนะ ข้าจะไปดูที่จวนสักหน่อย”
“คุณหนู เหตุใดท่านไม่กลับไปที่จวนเลยเล่าเจ้าคะ เงินของท่าน…”
“เจ้าก็บอกมาด้วยว่าข้าเก็บเงินและทรัพย์สินส่วนตัวเอาไว้ที่ใด”
สองคืนต่อมา / จวนสกุลไป๋
“โอ้โหไป๋ซูเม่ย…..นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะร่ำรวยมากมายเช่นนี้ แต่หากเอาไปหมดนี่คงลำบากแน่”
นางลงเขามาตอนบ่ายเพื่อดูตำแหน่งของจวนสกุลไป๋ในเมืองหยางโจว และคืนนี้ตอนที่อาหยงหลับสนิทแล้วนางจึงลงเขามาที่นี่เพียงลำพังอีกครั้งเพื่อจะมา “ขโมยของ” ของตัวเองแต่เมื่อนางจะกลับก็ได้ยินเสียงคนสองคนเดินคุยกันเข้ามาในห้องนางจึงต้องหาที่หลบ
“มีอย่างที่ไหนกันจนป่านนี้ยังไม่ยอมกลับจวน”
“นายท่าน คุณหนูมีนิสัยดื้อรั้นแต่ก็มิใช่ผู้ที่….ไม่รู้ความนะขอรับเพียงแต่ว่า....”
“นางดื้อเกินไปแล้ว เพียงแค่ข้ารับอนุเข้ามาใช่ว่าข้าอยากจะรับเสียหน่อยแต่ท่านอ๋องขอร้องให้รับพวกนางสองแม่ลูกเอาไว้จะให้ข้าทำเช่นไรเล่า”
“ที่แท้ท่านพ่อของนางมิได้อยากรับอนุหรอกหรือ แล้วทะเลาะกันด้วยเรื่องเพียงเท่านี้เองนะหรือ”
“แต่ว่านายท่านก็ทราบดีว่าแม่นางหร่วนผู้นั้นเป็นคนทำให้ใบหน้าของคุณหนูเป็นรอยแผล ดังนั้นนางจึงไม่พอใจ”
ไป๋ซูเม่ยรู้สึกราวกับแก้มที่เคยมีแผลเจ็บขึ้นมาเล็กน้อยทั้ง ๆ ที่นางใช้วิชาและปราณขับออกไปจนหมดแล้ว
“ที่แท้นางโกรธจนหนีออกจากจวนเพราะเรื่องนี้นี่เอง บิดานางรับศัตรูที่ทำร้ายนางเข้ามา”
“แต่นางก็บอกแล้วว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุและใช่ว่านางจะเป็นผู้ทำเสียเมื่อใดกัน บุตรสาวนางต่างหากที่เผลอทำยานั่นราดไปโดนหน้าของซูเม่ย ข้าเองก็กำลังรักษาให้นางอยู่แผลก็ใกล้จะหายแต่ดูที่นางทำสิ ไม่ยอมรักษาให้หายก่อนแต่กลับหนีออกไปมันใช้ได้ที่ไหนกัน!!”
“ไร้สาระจริง ๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้ารีบหาทางออกจากจวนดีกว่า”
นางทำในทันทีเมื่อพวกเขาเดินออกไปแล้ว นางกลับมาถึงกระท่อมอาหยงยังคงหลับสนิทอยู่ ทรัพย์สินที่นางได้มารวมกับที่อาหยงนำมาให้มากพอที่จะให้พวกนางสองคนเดินทางไปเมืองหลวงได้แล้วแต่ว่าตอนนี้นางคงต้องหาข้อมูลของคนที่นี่รวบรวมให้ได้มากที่สุดก่อนจะเดินทางไปที่เมืองหลวง
สิบวันถัดมา
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะไม่กลับจวนจริง ๆ หรือเจ้าคะ”
“ยัง ข้าจะเดินทางไปเมืองหลวง”
“คุณหนูแต่ว่าหากไปที่นั่นท่านจะต้องขออนุญาต….คุณหนูท่านหยุดทำไมเจ้าคะ”
“เงียบก่อน ด้านหน้านั้นมีเสียง อาจจะเป็น…”
“เสือ!! คุณหนูเจ้าคะ ที่นี่มีเสือหรือไม่”
“เจ้าเงียบก่อน!! อย่าเสียงดังและอยู่นิ่ง ๆ มันไม่ทำอะไรเจ้าหรอกมีข้าอยู่ที่นี่เจ้าไม่ต้องกลัว”
“คุณ…คุณหนู อย่าเข้าไปเจ้าค่ะ”
ไป๋ซูเม่ยค่อย ๆ เดินเข้าไปยังพุ่มไม้ที่มีบางอย่างทำให้ขยับอยู่ตรงหน้า นางหรี่ตาเล็กน้อยเพื่อเพ่งมองนางมั่นใจว่าไม่ใช่สัตว์ร้ายเพราะหากว่าเป็นเสือหรือหมาป่าจะไม่มีเสียงเช่นนี้ พวกมันจะมีเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมาเล็กน้อยก่อนจะกระโจนใส่เหยื่อ แต่นี่เหมือนจะไม่ใช่สัตว์…..
“คนงั้นหรือ…..อาหยงเร็ว ๆ เข้าที่นี่มีคนบาดเจ็บ เขาถูกธนูยิง!!”