บทที่ 3 สิ่งตอบแทน 1
ก่อนหน้านี้เสิ่นจ้านตั้งใจแค่ว่าจะมาตรวจตราบริเวณชายเพื่อสืบหาร่องรอยของเจ๋อจวิ้นอ๋องโจวหมิงเจี๋ยอย่างลับๆ เขาจึงไม่พาทหารองครักษ์ติดตามมามากเพื่อความคล่องตัว อีกทั้งยังปลอมตัวเป็นเพียงชาวยุทธ์ธรรมดาๆ หาใช่กษัตริย์ผู้ครองแว่นแคว้น
ดังนั้นแล้วการพบเจอกับฮัวจื่อเวย หรือเวลานี้คือสวีถีหลันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของฮ่องเต้หนุ่มเลยแม้แต่น้อย...
ทว่า...ไหนๆ ก็ได้พบเจอแล้วก็ดีเหมือนกัน ต่อให้มีคนคอยคุ้มกันไม่เยอะ แต่บุรุษที่มีกันห้าคนจะปกป้องสตรีเพียงคนเดียวไม่ได้เชียวหรือ?
อีกอย่าง ตัวเมืองจี้หย่งก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก ถึงตอนนั้นเข้าเมืองไปแล้วก็ยังสามารถหาคนมาคุ้มกันเพิ่มได้ อย่างนี้แล้วการพาตัวสวีถีหลันกลับเมืองอันหลางก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเกินไปแล้ว
ใช่! ...สิ่งที่เขาคิดตอนนี้คือการตัวสวีถีหลันกับเมืองหลวงแคว้นต้าหย่ง!
จุดที่ฮ่องเต้หนุ่มและองครักษ์อีกสี่คนพักอยู่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงลานเล็กใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปจากถนนที่ผู้คนใช้สัญจรไปมาระหว่างแคว้นไม่มากนัก แต่ก็เป็นจุดที่ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็จะไม่เห็นว่ามีกลุ่มคนนั่งกันอยู่ตรงนี้
สวีถีหลันลงจากหลังม้าได้เพราะถูกบุรุษร่างสูงอุ้มลงมาโดยที่เขาไม่ถามไถ่ความสมัครใจของนางสักคำ แต่เวลานี้มันก็ไม่ใช่เวลาที่นางจะมามากเรื่องหรือคิดเล็กคิดน้อย อีกฝ่ายช่วยชีวิตนางไว้ได้อย่างแทบจะเรียกว่าหวุดหวิด นั่นคือสิ่งที่นางจะต้องขอบคุณเขามากกว่าการต่อว่าเขา แม้ว่าเขาจะถูกเนื้อต้องตัวนางบ่อยเกินความจำเป็นไปบ้างก็ตาม
“คืนนี้คงต้องพักที่นี่ก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางกันต่อ” เสิ่นจ้านเอ่ยกับองครักษ์ทั้งสี่ของตนเอง ท้ายประโยคยังมิวายหันหน้าไปมองสตรีเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มด้วย
สวีถีหลันแสร้งก้มหน้ามองพื้น ทำทีไม่สนใจสิ่งที่เสิ่นจ้านเพิ่งเอ่ยออกมาเมื่อครู่ สาเหตุเพราะมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง แต่นางที่ก้มหน้ามองพื้นเพียงเพราะต้องการหลบสายตาของเขาที่มองมาต่างหาก
เอ่ยกับคนสนิทของตนจบร่างสูงก็พยักหน้าครั้งหนึ่ง สี่องครักษ์จึงได้หันหลังจากไปทำตามหน้าที่ คนหนึ่งหาน้ำ คนหนึ่งหาอาหาร ส่วนอีกสองคนก็คอยยืนเฝ้าผู้เป็นนายกับสตรีแปลกหน้าอยู่ห่างๆ
ก่อนหน้านี้พวกเขาจับเป็นโจรที่จับตัวสวีถีหลันไว้ได้สองคนก็จริง ทว่าอยู่ๆ พวกมันก็เกิดกัดลิ้นตัวเองตายในขณะที่เสิ่นจ้านพาสวีถีหลันไปล้างเนื้อล้างตัวที่ริมแม่น้ำ
จากการกระทำนั้นเห็นได้ว่าพวกมันใช่โจรกระจอกธรรมดาๆ อาจจะนักฆ่าพลีชีพกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังนั้นขึ้นแล้ว หัวหน้าองครักษ์ของเสิ่นจ้านก็รีบจัดการทำลายศพของพวกโจรทิ้งในทันทีเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย
กล่าวถึงองครักษ์ทั้งสี่นายของหมินเซียนเฉิงฮ่องเต้ที่ติดตามมาด้วยในครั้งนี้ พวกเขาทั้งสี่ล้วนเคยเป็นทหารอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเสิ่นจ้านเมื่อครั้งเขายังเป็นเพียงแม่ทัพผู้หนึ่ง ครั้นทำการยึดอำนาจไว้ได้อย่างเด็ดขาดก็ดึงเอาคนที่ภักดีของตัวเองมาอยู่รับใช้ใกล้ชิด ทว่าองครักษ์ทั้งสี่คนนี้ล้วนแต่ไม่เคยมีใครเคยเห็นหน้าสวีถีหลันมาก่อน เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนประจำการอยู่ในกองทัพอุดร พวกเขาแต่ละคนไม่เคยมีใครรู้จักตระกูลฮัวเมื่อห้าปีก่อนด้วยซ้ำ
แต่หากเป็นตระกูลฮัวในปัจจุบันพวกเขาทั้งสี่ก็พอจะได้ยินชื่อเสียง (ชื่อเสีย) อยู่บ้าง
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยมีใครรู้ว่า ผู้เป็นนายเหนือหัวของตนเองกับสตรีแปลกหน้าที่พวกเขาจับตาดูด้วยความหวาดระแวงอยู่นั้น เคยพบเจอกันมาก่อนเมื่อครั้งอดีต ทั้งยังเคยมีวีรกรรมน้อยใหญ่ร่วมกันมา
“เจ้าจะทำเช่นไรต่อไป?” เสิ่นจ้านเอ่ยขึ้นเมื่ออยู่ตามลำพังกับสวีถีหลันสองคน โดยมีองครักษ์สองจับตามองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“หม่อมฉัน?” สวีถีหลันชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ทันทีที่ฟ้าสางหม่อมฉันจะกลับแคว้นต้าตงเพคะ”
“กลับต้าตง?” เสิ่นจ้านทวนคำ หัวคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันเล็กน้อยคล้ายว่ากำลังไม่พอใจในคำตอบที่ได้ยินเท่าไหร่นัก
“เพคะ...กลับต้าตง เวลานี้หม่อมฉันเป็นคนที่นั่น อีกอย่างมารดากับพี่ชายหม่อมฉันก็อยู่ที่นั่นด้วย”
หลังจากนางไปอยู่ต้าตงได้ราวๆ สองปี ลั่วเซียงผู้เป็นมารดากับลั่วหมิงซื่อผู้เป็นพี่ชายคนโตก็พากันย้ายไปอยู่ที่เมืองหูหลงอันเป็นเมืองหลวงของแคว้นต้าตง รวมทั้งลั่วหวงซีผู้เป็นน้าชายและน้าสะใภ้ของนางด้วย
และเพราะมีพันธมิตรที่ดีอย่างจวนโหย่วจงโหวและจวนเจิ้งกั๋วกง การย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่เมืองหูหลงจึงไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็นอะไรนัก พี่ชาย น้าชายและตระกูลลั่วของมารดาของนางไม่ขัดสนเรื่องเงินทอง ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็สามารถเปิดกิจการร้านขายผ้ากับโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งขึ้นได้ แม้กิจการจะไม่ใหญ่โตเทียบเท่าตอนที่อยู่อันหลาง แต่ก็นับว่าไปได้ดีมีอนาคต