บทที่ 3 สิ่งตอบแทน 2
อีกอย่างฝีมือการค้าขายของพี่ชายนางย่อมไม่ด้อยไปกว่าผู้ใดอยู่แล้ว และที่ยังไม่แสดงฝีมือออกไปก็เป็นเพราะรอคอยจังหวะโอกาสดีๆ เท่านั้น
มังกรพลัดถิ่นหรือจะสู้งูดินเจ้าที่...เวลานี้แม้จะผ่านไปห้าปีแล้วแต่การค้าขายนั้นจะใจร้อนไม่ได้ สิ่งเดียวที่พี่ชายของนางในเวลานี้ก็คือรอคอยเวลาเท่านั้น เงินทองก็มีอยู่มากเต็มหีบ ค่อยๆ หาไปเติมทีละเล็กทีละน้อยไม่หยุดหย่อนอย่างไรเสียก็ย่อมเติมเต็มอีกสักหีบหรือสองหีบ
และด้วยความที่อายุของพี่ใหญ่ของนางนั้นไม่น้อยแล้ว เมื่อครึ่งปีก่อนหน้านี้ลั่วหมิงซื่อพี่ชายของนางก็เพิ่งจะแต่งงานกับคุณหนูลูกคหบดีผู้หนึ่งไป อีกทั้งเวลานี้พี่สะใภ้ของนางก็กำลังตั้งครรภ์หลานคนแรกของตระกูลอยู่
เห็นได้ชัดว่าทั้งชีวิตและครอบครัวของนางได้ย้ายไปอยู่ที่ต้าตงหมดแล้ว รวมทั้งหลานหลีเกอที่เป็นทั้งสหายรักและพี่น้องร่วมสาบานของนางด้วย เวลานี้แคว้นต้าหย่งจึงไม่มีอะไรเหลือให้นางต้องอาลัยอาวรณ์อีกต่อไปแล้ว...นางไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องกลับไปที่นั่นอีก
“เจ้า...คงลืมสิ้นแผ่นดินที่เคยเกิด ลืมแผ่นดินที่เคยเติบโตแล้วสินะ” เสิ่นจ้านเอ่ยออกมา ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าคล้ายๆ ว่าจะมีความเย้ยเหยียดแฝงอยู่
“...” สวีถีหลันหันหน้าไปมองคนสูงศักดิ์ คิ้วเรียวขมวดเป็นปมเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ ไม่ต้องตั้งใจฟังก็รู้ว่าคนพูดรู้สึกเช่นไร...
ในสายของเขา...นางก็เป็นได้เพียงคนทรยศแผ่นดินผู้หนึ่งเท่านั้น
ทว่า...มนุษย์ทุกผู้ย่อมต้องรู้จักหาทางรอดให้ตัวเอง นางไม่คิดว่าตนเองผิดที่ใช้วิธีเช่นนั้นเพื่อเอาตัวรอดจากโจวซีเฉิน ไม่เคยคิดว่าหลานหลีเกอผิดที่คิดแก้แค้นในเรื่องอดีตเมื่อชาติก่อน แล้วก็ไม่คิดว่าประโยคเมื่อครู่ที่เสิ่นจ้านกล่าวออกมาเมื่อครู่เป็นสิ่งที่ผิดด้วย เขามีสิทธิ์พูดก็ให้เขาพูดไป ส่วนชีวิตนี้เป็นของนาง นางจะทำอย่างไรกับชีวิตตนเองก็ย่อมได้
สวีถีหลันคิดได้อย่างนั้นแล้วก็ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเลือกที่จะหันหน้าหนี เวลานี้นางยังไม่มีสิทธิ์ไปมีปากมีเสียงกับบุรุษหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้หรอก
เวลานี้ไม่มี...ภายภาคหน้าก็ไม่มี ก็เขาเป็นฮ่องเต้นี่ หาใช่คนธรรมดาไร้ที่ซุกหัวนอนเช่นนาง!
“กำลังคิดอะไร? ...แล้วไยต้องหันหน้าหนีเรา” เสียงเข้มเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ ทั้งยังมิใคร่จะชอบใจนักเมื่อเห็นว่านางหันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่หันมามองหน้าแล้วพูดคุยกับตนเองดีๆ
ถ้าไม่ติดว่ามีเบื้องหลังเป็นท่านพี่เนี่ยแล้วละก็...คงจะทำอะไรๆ ได้มากกว่านี้...
“เปล่าเพคะ ไม่ได้คิดอะไร” สวีถีหลันหันหน้ากลับมาตอบ ใบหน้างามยกรอยยิ้มการค้าขึ้นมาส่งให้คู่สนทนาได้อย่างไม่ขัดต่อสายตาสมกับที่เป็นลูกหลานตระกูลคหบดี
“ก็ดี...ไม่ได้คิดอะไรก็ดี เช่นนั้นคืนนี้ก็คิดไว้ก็แล้วกันว่าจะตอบแทนเราอย่างไร”
“ตอบแทน...ตอบแทนหรือเพคะ?”
“ใช่...ตอบแทน”
เสิ่นจ้านยืนยันพร้อมกับขยับขาก้าวเดินเข้าไปใกล้ๆ ร่างบอบบางของสตรีตรงหน้าขึ้นอีกเล็กน้อย ในหัวของฮ่องเต้หนุ่มตอนนี้คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แต่หากจะให้เขาเอ่ยออกมาเอง มีหวังเขาได้ถูกท่านพี่เนี่ยเล่นงานเป็นแน่ มิสู้หาวิธีให้ฮัวจื่อเวย...ไม่สิ ให้สวีถีหลันเสนอตัวเองจะดีกว่า...
“เราช่วยชีวิตเจ้าไว้ถึงสองครั้ง...ไม่สิ สามครั้ง เราช่วยชีวิตเจ้าไว้ถึงสามครั้ง ทั้งเมื่อก่อนแล้วก็ตอนนี้ ไม่รู้ว่าบุญคุณนี้เจ้าจะตอบแทนเราอย่างไร?”
ร่างสูงหยุดยืนต่อหน้าหญิงสาวเมื่อเอ่ยประโยคแรกจบ จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักก็โน้มเข้าไปใกล้พร้อมกับประโยคต่อไปที่พรากเอาสติของสวีถีให้หลุดลอยกระจัดกระจายออกไปราวกับฝูงผึ้งแตกรัง...
“หากว่าเจ้าคิดไม่ออก มิสู้เราคิดแทนเจ้าเอง...ถ้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณที่เราช่วยชีวิตเจ้าไว้อย่างไร เช่นนั้นก็ใช้ตัวและหัวใจตอบแทนเราเถิด มีคุณต้องทดแทน คำคำนี้เราหวังว่าเจ้าจะเคยได้ยินมาบ้างนะ...หลันเอ๋อร์”
“...!”
สิ้นประโยคนั้นของชายหนุ่ม หญิงสาวก็ทำได้เพียงแค่กะพริบตาปริบ ริมฝีบางเม้มเข้าหากันแน่นจนเป็นเส้นตรง ลำคอแห้งผากจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาโต้ตอบได้ มีเพียงรอยยิ้มแห้งๆ เท่านั้นที่ถูกส่งออกไปอย่างเสียไม่ได้...
ห้าปีที่ไม่ได้พบกัน...นางว่าเสิ่นจ้านผู้นี้จะต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ...
และเมื่อครู่นี้หากนางได้ยินไม่ผิด...เขาเรียกนางว่าหลันเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ?
...นางไปสนิทสนมกับเขาถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อใดนะ?