บทที่ 1 ด้ายแดงแผลงฤทธิ์ 2
จะว่าไปแล้วท่านตากับท่านยายบุญธรรมก็ดีต่อนางเป็นที่สุด ก่อนหน้านี้พวกท่านทั้งสองพอจะมองการกระทำของหยางอี้เฉาและคนจวนเหลียงกั๋วกงออก พวกท่านทั้งสองจึงได้เรียกนางไปพบที่ห้องหนังสือ ก่อนจะถามไถ่อย่างใส่ใจและเมตตาว่านางนั้นคิดเห็นเช่นไรเรื่องการเกี่ยวดองกับสกุลหยาง
ครานั้นนางตอบว่านางไม่ได้มองคุณชายรองจวนเหลียงกั๋วกงต่างไปจากบุรุษอื่นในเมืองหูหลงสักนิด ท่านโหวจึงได้พยักหน้ารับเบาๆ แล้วท่านยายสวีซูซินจึงพูดขึ้นอีกประโยคว่าดีเหลือเกินที่สายตาของนางยังมีแววอยู่บ้าง
ตระกูลหยางเป็นตระกูลของท่านยายของฮ่องเต้ หากจะนับก็คงจะเป็นญาติห่างๆ เป็นญาติที่เกี่ยวดองกันโดยการแต่งงานหาใช่เชื้อสายเดียวกันกับเชื้อพระวงศ์ ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรไปจากตระกูลเนี่ยเท่าใดนัก
ทว่าตระกูลหยางนั้นหาใช่ตระกูลแม่ทัพ พวกเขาเป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น แต่กลับไม่เป็นที่โดดเด่น ความเก่งกาจก็ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ หากแต่ที่ได้ครอบครองบรรดาศักดิ์กั๋วกงนั้นเป็นเพราะคุณงามความดีเดียวคือถวายเงินสร้างวัดให้เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่องค์ฮ่องเต้ ที่ยามนั้นทรงประชวรด้วยอาการท้องร่วงมาสามวันติดๆ
ครานั้นหมอหลวงทั้งสำนักหมอหลวงต่างวุ่นวายพากันหาทางรักษา เมื่อพระอาการดีขึ้นแต่กลับทรงมองไม่เห็นน้ำใจ รางวัลไม่มีให้ยังพอว่าแต่กลับมาโทษที่หมอหลวงไร้สามารถเสียได้
สุดท้ายความดีความชอบกลับตกไปอยู่ที่หยางป๋อ ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายตามสายญาติฝั่งมารดาของของฮ่องเต้ และแม้ว่าการพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ตระกูลหยางในครานั้นจะถูกขุนนางคัดค้านกันทั้งท้องพระโรง แต่มีหรือที่ฮ่องเต้ผู้นั้นจะยอมฟัง ไปๆ มาๆตระกูลหยางจึงได้ครอบครองบรรดาศักดิ์กั๋วกง ราชทินนามเหลียงไปอย่างง่ายดาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้นเป็นปีเดียวกับที่เนี่ยฮองเฮาทรงกำลังมีพระครรภ์พระโอรสองค์ที่สามอยู่ อีกทั้งในเวลานั้นองค์ชายใหญ่ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้ว เรื่องพระอาการป่วยด้วยโรคท้องร่วงของฮ่องเต้หงหยางจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ถูกมองว่ามีคนคิดร้ายลอบปลงพระชนม์
และคนที่หงหยางฮ่องเต้หวาดระแวงสงสัยก็ไม่ใช่ใคร...เป็นเนี่ยฮองเฮานั่นเอง
ยิ่งเมื่อตอนองค์ชายเจ็ดมีประสูติกาล รวมไปถึงคำทำนายจากไต้ซือผู้เป็นที่เคารพนับถือของสองผู้คนในสองแคว้น(ต้าหย่งกับต้าตง)แล้ว หงหยางฮ่องเต้ก็ยิ่งหวาดระแวงเนี่ยฮองเฮาและตระกูลเนี่ยมากยิ่งขึ้นไปอีก รวมไปถึงตระกูลสวีและตระกูลอื่นๆที่เป็นมิตรกับสองตระกูลด้วย
นั่นจึงทำให้ฮ่องเต้ต้องการสร้างฐานอำนาจของตนเองขึ้นมา โดยตระกูลหยางก็นับว่าเป็นตระกูลของญาติ หากมอบอำนาจให้ก็คงพึ่งพาได้บ้างไม่น้อย
ซึ่งแผนการนี้ของฮ่องเต้ก็เรียกได้ว่าไม่เลวเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ใช่หมากที่ดีที่สุด ด้วยเพราะตระกูลหยางเป็นตระกูลบัณฑิต แต่ในหลายสิบปีที่ผ่านมากลับไม่เคยมีตำแหน่งสูงถึงขุนนางขั้นห้าเลยสักคน หยางป๋อผู้นั้นตอนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ก็ยังเป็นเพียงขุนนางขั้นหก
ทว่าต่อมาบุตรชายคนโตของเขาหยางอี้เกากลับมีความสามารถไม่ธรรมดาที่สอบขุนนางได้ถึงตำแหน่งทั่นฮวามาครอง
แต่...จนตอนนี้ก็ยังเป็นได้เพียงขุนนางขั้นหกในสังกัดกรมพิธีการเท่านั้น
“สอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาแล้วอย่างไร? ในเมื่อทำงานยังไม่เป็น แล้วจะเลื่อนขั้นให้เปลืองเบี้ยหวัดไปทำไม?”
นั่นคือคำพูดขององค์รัชทายาทที่ถูกถ่ายทอดโดยเสนาบดีกรมขุนนางสวีเว่ยกวง และอาจจะเพราะสาเหตุนี้เอง คนตระกูลหยางถึงได้ต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลเนี่ย เพราะไม่ว่าจะด้วยอำนาจหรือพวกพ้องมิตรไมตรี ตระกูลเนี่ยก็เหมือนจะมีมากล้นจนฮ่องเต้หวาดระแวง
เพราะถ้าดองกับตระกูลเนี่ยได้ นั่นก็เท่ากับว่าฮ่องเต้สามารถส่งสายสืบไว้ในตระกูลเนี่ยได้ ตระกูลหยางก็จะพลอยได้หน้าได้ตาไปด้วย
แต่ที่ผ่านมาคือตระกูลเนี่ยไม่มีบุตรีเลยสักคน เนี่ยฮองเฮาเป็นทายาทสตรีเพียงคนเดียวในบรรดาคนตระกูลเนี่ยในสามรุ่นที่ผ่านมา ส่วนทายาทชายของตระกูลเนี่ยก็ล้วนแต่มีนิสัยรักเดียวใจเดียว บุรุษตระกูลเนี่ยกี่รุ่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่ไม่เคยมีใครมีอนุ มีเพียงภรรยาเอกคนเดียวมาทุกรุ่น
ดังนั้นเมื่อสวีซูซินรับหลานสาวบุญธรรมมาคนหนึ่ง นางผู้นั้นจึงไม่ต่างอะไรกับกระต่ายน้อยในดงเสือ ที่มักจะถูกจับจ้องจากผู้ล่าน้อยใหญ่อยู่เสมอ และหากมิใช่ว่าเบื้องหลังของกระต่ายน้อยตัวนั้นคือพญาราชสีห์ ป่านนี้นางก็คงกลายเป็นอาหารเสือหิวสักตัวไปแล้ว
ทว่ากลับมีเสืออยู่ตัวหนึ่งที่ชอบเล่นไม่ซื่อโดยการปล่อยข่าว่าตนเองจะดองกับตระกูลเนี่ย เป็นเหตุให้ผู้คนเข้าใจว่าสวีถีหลันเป็นคู่หมายของตน ทำให้เสือตัวอื่นๆ ไม่กล้าเข้าใกล้หรือยุ่งเกี่ยวด้วย
ใช่…เสือตัวนั้นก็คือตระกูลหยางหรือจวนเหลียงกั๋วกงนั่นเอง
ทว่า...มีหรือที่สวีถีหลันจะยอมเป็นกระต่ายน้อยในมือเสือ?
เมื่อหยางอี้เฉายกขบวนขันหมากพร้อมแม่สื่อมาถึงประตูจวนโหว นางก็หนีออกไปทาหลังจวนทันที วิชาขี่ม้ายิงธนู รวมไปถึงการต่อสู้ปีนป่ายที่ฝึกปรือมาสี่ปีได้ใช้จริงๆ ก็คราวนี้
ใครว่าอยู่ในจวนโหย่วจงโหวนางต้องกลายเป็นคุณหนูในห้องหออย่างเดียวกัน?
จะดีจะร้ายตระกูลเนี่ยก็เป็นตระกูลแม่ทัพ ลูกหลานในตระกูลตั้งแต่รุ่นเล็กฟันน้ำนมยังขึ้นไม่เต็มปากก็ได้เริ่มจับดาบจับไม้กันแล้ว
ดังนั้นตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นนางจึงพลอยได้ฝึกวิชาป้องการตัวและศาสตร์การต่อสู้ไปด้วย นับว่าไม่เสียชาติเกิดเป็นที่สุด