บทที่ 5 แหวนหยกปานจื่อ
บทที่ 5 แหวนหยกปานจื่อ
ฟางเพ่ยเพ่ยเริ่มรับรู้ได้ว่าถูกบุรุษผู้นั้นจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา ก็เริ่มหวาดหวั่นขึ้นมาทันที นางรีบนำเงินสองอีแปะวางลงบนโต๊ะ แล้วจึงรีบลุกขึ้นและเดินออกจากร้านน้ำชานั้นไปทันที
เจิ้งหยางเจี๋ยยกยิ้มมุมปาก แววตาเจ้าเล่ห์จ้องมองฟางเพ่ยเพ่ยอย่างมิลดละ
คิดจะหนีข้าเช่นนั้นหรือ!
ช่างน่าตื่นเต้นยิ่งนัก!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เจิ้งหยางเจี๋ยจึงเดินตามนางไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ฟางเพ่ยเพ่ยเองก็พยายามเร่งฝีเท้าให้รวดเร็วขึ้นเช่นเดียวกัน
ด้านหลัวเฉิงเยียนที่เห็นเช่นนั้น จึงรีบเอ่ยถามเจิ้งหยางเจี๋ยด้วยความสงสัย
"ฝ่าบาท จะทรงตามนางไปด้วยเหตุใดกันพ่ะย่ะค่ะ"
เจิ้งหยางเจี๋ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปถลึงตามองหลัวเฉิงเยียนคราหนึ่ง
"ข้าบอกว่ายามที่อยู่นอกวังหลวงอย่าเรียกข้าเช่นนี้!!!"
"ขอรับ ท่านขันทีหยางเจี๋ย"
เจิ้งหยางเจี๋ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ยามออกมาด้านนอกวังหลวงเขาจะสั่งให้หลัวเฉิงเยียนเรียกเขาว่าขันที
โอวว!!! การปลอมตัวเช่นนี้ช่างสนุกไม่น้อย เขาชอบปลอมเป็นขันทีที่สุด เพราะอะไรน่ะหรือ? เพราะขันทีไม่มีท่อนเอ็นบัดซบนั่นมาทำให้เขาขุ่นเคืองอย่างไรเล่า!!!
ฮ่า ๆๆๆๆ ข้านี่ทั้งรูปงามทั้งฉลาดที่สุด!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เจิ้งหยางเจี๋ยจึงหันไปถลึงตามองหลัวเฉิงเยียนอีกครั้ง
"หึ! รีบตามนางไปเร็วเข้า ข้าอยากรู้ว่านางมาจากที่ใด?"
"จะตามทำไมเล่าขอรับ"
"ข้าอยากได้นางมาเป็นภรรยา"
เจิ้งหยางเจี๋ยเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะรีบเร่งตามนางไปโดยเร็ว
ฟางเพ่ยเพ่ยเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาเสียแล้ว นางมิรู้ว่าบุรุษสองคนนั้นคือผู้ใด และตามนางมาด้วยเหตุใด แต่ทว่ายามนี้บริเวณโดยรอบไม่มีผู้คนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ผู้คนต่างปิดจวนหนีความหนาวเย็นกันเสียหมด ร้านค้าก็นาน ๆ ทีจึงจะเจอสักร้านหนึ่ง
แต่ทว่าในความหวาดกลัวนั้น ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง สายตาของฟางเพ่ยเพ่ย เหลือบไปเห็นเหล่าทหารกำลังติดป้ายประกาศบางอย่างอยู่ที่ศาลาว่าการ เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงรีบมุ่งหน้าไปที่นั่นโดยเร็ว และทำทีเป็นจ้องมองไปที่ป้ายประกาศนั้นเสีย เพื่อหลบเลี่ยงเจิ้งหยางเจี๋ยและหลัวเฉิงเยียน
เจิ้งหยางเจี๋ยรู้สึกสนุกขึ้นมาเสียแล้ว สตรีน้อยนางนี้ ช่างน่ารักน่าชังยิ่งนัก ตั้งแต่เขาเติบโตมาจวบจนอายุยี่สิบปี เขายังมิเคยเจอสตรีใดจะงดงามและน่ามองเท่านางมาก่อนเลย
เสียดายหน้าอกเล็กไปหน่อย!!!
ช่างมันเถิด!!! รอข้าบีบขยำสักสองสามคราน่าจะใหญ่ขึ้นได้!!!
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งปวดหนึบที่ช่วงล่าง อยากจะควักมันออกไปให้นางดูเสียให้รู้แล้วรู้รอด และหากเป็นไปได้เขาอยากจะหาผ้ามาคลุมหัวนางแล้วแบกกลับวังหลวงไปพร้อมกันเสียเลย!
บัดซบ!!! แถวนี้ไม่มีที่ให้ข้าชักเสียด้วย!!! ต้องอดทนไว้
ในคราแรกนั้น ฟางเพ่ยเพ่ยเพียงคิดจะหาทางหลบหลีกจากเจิ้งหยางเจี๋ยและหลัวเฉิงเยียนเพียงเท่านั้น แต่ทว่าเมื่อนางจ้องมองไปยังประกาศฉบับนั้น ก็ครุ่นคิดบางอย่างในใจขึ้นมาได้
ราชโองการจากฮ่องเต้ต้าเจิ้ง
บุรุษและสตรีที่มีอายุตั้งแต่สิบสามปีขึ้นไป ทั้งที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนและจากตระกูลสูงศักดิ์ สามารถเข้ารับเลือกเป็นนางกำนัลและทหารรับใช้ในวังหลวงได้ หากผ่านการคัดเลือก จะได้รับเบี้ยหวัดหนึ่งร้อยอีแปะต่อเดือน
จบราชโองการ
หนึ่งร้อยอีแปะต่อเดือนเชียวหรือ!!!
เมื่อได้เห็นเช่นนั้น ความหวาดกลัวในคราแรกของฟางเพ่ยเพ่ยก็มลายหายไปจนหมดสิ้น นางฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
เจิ้งหยางเจี๋ยที่ได้เห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกราวกับว่าตนเองได้ตกลงไปในห้วงแห่งความงามของนางเสียแล้ว
เหตุใดจึงงดงามถึงเพียงนี้เล่า!!! เขาหลงใหลความงามของนางจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เจิ้งหยางเจี๋ยจึงก้าวเดินเข้าไปหานางทันที ฟางเพ่ยเพ่ยที่ไม่ทันระวังตน กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าเจิ้งหยางเจี๋ยเข้ามาใกล้ตัวนางเสียแล้ว
สัญชาตญาณทำให้ฟางเพ่ยเพ่ย ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว พร้อมกับก้มหน้าก้มตาลงไม่กล้าสบตากับเขา
เจิ้งหยางเจี๋ยยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
"ไม่คิดว่าแม่นางจะเดินมาทางเดียวกับข้า เห็นแม่นางเร่งรีบเดิน ข้าก็คิดว่าหนีสิ่งใดมา"
"เอ๋?"
ฟางเพ่ยเพ่ยที่ได้ยินเช่นนั้น จึงค่อย ๆ เงยหน้าไปมองเขา ดวงตากลมโตจ้องมองเจิ้งหยางเจี๋ยด้วยความสงสัย
เขามิได้ตามนางมาหรอกหรือ?
ให้ตายเถิด!!! น่าอายเหลือเกิน!!! นางคิดว่าเขาตามนางมาเสียอีก!!!
"เอ่อ..."
"แม่นางสนใจจะสมัครเข้าร่วมการคัดเลือกนางกำนัลหรือ?"
"ไม่ใช่เจ้าคะ ข้าเพียงผ่านมาเห็นราชโองการฉบับนี้เข้า จึงเข้ามาอ่านดูเพียงเท่านั้น"
"หากแม่นางอยากเข้ารับคัดเลือกในครานี้ ข้าช่วยเจ้าได้นะ ข้าน่ะเป็นขันทีคนสนิทของฝ่าบาท"
เจิ้งหยางเจี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไร้พิรุธ ใบหน้าหล่อเหลาฉีกยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร
หลัวเฉิงเยียนที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ลอบบิดเบ้มุมปากคราหนึ่ง ฝ่าบาทนะฝ่าบาท พูดมาได้ว่าตนเองเป็นขันที!!!
แล้วท่าทางอ่อนโยนเช่นนี้ก็น่าขนลุกเสียยิ่งนัก เขาเคยเห็นแต่ฝ่าบาทจ้องจะกินหัวเหล่าขุนนาง แต่กับสตรีน้อยนางนี้ ช่างอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนด้วยซ้ำ
ความงามของสตรีนี่มันร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ!!!
ฟางเพ่ยเพ่ยที่ได้ยินคำว่า 'ขันที' จากปากของเจิ้งหยางเจี๋ย ใบหน้าสวยหวานก็พลันขึ้นสีแดงระเรื่อ
ขันทีที่ตัดทิ้งทั้งพวงแล้วน่ะหรือ น่าเสียดายจัง!
เจิ้งหยางเจี๋ยที่เห็นว่าฟางเพ่ยเพ่ยหน้าแดงและจ้องมองเขาอย่างกระอักกระอ่วนใจก็รู้ได้ในทันที
บัดซบ!!! นางคิดว่าเขาไม่มีสิ่งนั้นแล้วใช่หรือไม่?
รอก่อนเถิดแม่นาง มีโอกาสเมื่อใด ข้าจะควักออกมาให้เจ้าดูให้เต็มตา!!!
"ว่าอย่างไรเล่า ข้าช่วยเจ้าได้นะ"
ฟางเพ่ยเพ่ยที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วมุ่นคราหนึ่ง ในใจนางก็พลันครุ่นคิดขึ้นมา ว่าเขากับนางมิเคยรู้จักกัน เขาจะช่วยนางเพื่อสิ่งใด อีกอย่างนางเคยอ่านนิยายเกี่ยวกับวังหลังมาก็มาก เล่ห์เหลี่ยมของคนในวังหลวงช่างน่ากลัวยิ่งนัก
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว นางจึงเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม
"ข้าขอบคุณในความหวังดีของท่านขันที แต่ข้าคงไม่เข้ารับการคัดเลือกในครั้งนี้หรอกเจ้าค่ะ ข้ามีท่านแม่ที่ป่วยต้องคอยดูแล ขอบพระคุณในความเมตตาของท่านขันทีอีกครั้ง ข้าขอตัวก่อน ท่านแม่คงรอข้ากลับเรือนแล้ว"
ฟางเพ่ยเพ่ยยกผ้าขึ้นมาปิดบังใบหน้าตนอีกครา เจิ้งหยางเจี๋ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนใจขึ้นมาทันที
แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดกล้าขัดใจเขา!!!
แต่นางกล้า!!!
หึ!!! คิดว่ามาทำให้เขาหลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วจะคิดจากไปง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?
ช้าก่อน!!! ห้ามทำให้นางตกใจเป็นอันขาด!!!
"ช้าก่อน เจ้ามีชื่อว่าอะไรหรือ?"
ฟางเพ่ยเพ่ยรีบหันกลับมามองเขาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
"อาเพ่ยเจ้าค่ะ"
อาเพ่ย! ชื่อช่างไพเราะยิ่งนัก
"ข้าให้เจ้า"
"เอ๋?"
ฟางเพ่ยเพ่ยจ้องมองแหวนหยกสีเขียวนวลที่เจิ้งหยางเจี๋ยยื่นมาตรงหน้าของนาง ด้วยท่าทีที่ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ดวงตากลมโตจ้องมองเจิ้งหยางเจี๋ยคราหนึ่งด้วยความครุ่นคิด
เจิ้งหยางเจี๋ยยื่นแหวนหยกเนื้อดีนั้นเข้าไปใกล้ฟางเพ่ยเพ่ย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนอีกครา
"อย่ามองข้าเช่นนั้นสิ ข้าเพียงให้เจ้ายืมชั่วคราวเท่านั้น หากวันใดเจ้าอยากสมัครเข้ามาเป็นนางกำนัล ก็ยื่นแหวนหยกปานจื่อนี้ให้ขันทีเหล่านั้นดู แล้วบอกว่า อยากมาพบข้า ข้ามีนามว่าหยางเจี๋ย เพียงเท่านี้เจ้าก็จะเข้าวังมาเป็นนางกำนัลได้อย่างราบรื่น"
"เอ่อ... แต่ว่า?"
"ข้าเพียงเอ็นดูเจ้าเท่านั้น ยิ่งได้ยินว่าเจ้ากตัญญูเลี้ยงดูมารดาที่ล้มป่วย อีกทั้งยามนี้อากาศก็หนาวเย็น ผู้คนต่างลำบากไม่น้อย การจะหางานทำนั้นมิใช่เรื่องง่าย เจ้าลองคิดให้ดีเถิด การเข้ามาเป็นนางกำนัลในวังหลวง ย่อมดีกว่ามิใช่หรือ?"
ฟางเพ่ยเพ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มคล้อยตามคำพูดของเจิ้งหยางเจี๋ยขึ้นมาเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าสตรีตรงหน้าเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของเขา ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
"แต่ถ้าหากเจ้ามิอยากเข้าวังมาเป็นนางกำนัล ก็เก็บแหวนหยกปานจื่อวงนี้เอาไว้เถิด ยามเจ้าลำบากจะได้นำมันไปขาย เพื่อมีชีวิตที่ดีขึ้น ข้าไปก่อนละ"
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะหันกายเดินจากไป ทิ้งให้ฟางเพ่ยเพ่ย มองตามหลังของเขาที่ค่อย ๆ ห่างไกลสายตานางไปเรื่อย ๆ พร้อมกับจ้องมองแหวนหยกในมือด้วยท่าทีครุ่นคิด