บทย่อ
ข้าโหด ข้าเหี้ยม ข้าเผด็จการ ข้าไบโพล่า แต่ข้าใจอ่อนกับนางเพียงคนเดียวเท่านั้น แนะนำตัวละคร เจิ้งหยางเจี๋ย ฮ่องเต้ต้าเจิ้ง เขาคือฮ่องเต้ผู้ได้รับสมญานามกับมีใบหน้าดุจเทพสวรรค์ ทั้งหล่อเหลาและงดงามในใบหน้าเดียวกัน แต่ทว่าภายใต้ใบหน้าดุจเทพสร้างนี้ เขากลับมีความเผด็จการและอำมหิตซ่อนอยู่ จนเหล่าขุนนางให้สมญานามเขาว่า ฮ่องเต้ทรราช แต่ทว่าเมื่ออยู่กับสตรีที่รัก เขากลับกลายเป็นบุรุษผู้อ่อนโยนในบางครา อีกทั้งยังหื่นเบาๆ ฟางเพ่ยเพ่ย สาวน้อยผู้ย้อนเวลามาอยู่ในร่างของสตรีโบราณ นามว่า ฟางเพ่ยเพ่ย สตรีจากตระกูลฟาง ตระกูลบัณฑิตเลื่องชื่อ แต่เพราะวาสนาด้ายแดงทำให้นางได้พบกับเจิ้งหยางเจี๋ย และถูกเขาใช้เสน่ห์และความหื่นจนนางยอมเป็นสตรีของเขา #พระเอกเรื่องนี้เป็นไบโพล่าค่ะ อารมบ้าๆบอๆขึ้นๆลงๆ แต่รักความถูกต้อง และฮามากๆอีกด้วย เรื่องย่อ เมื่อวาสนาด้ายแดงมาบรรจบ ทำให้ฟางเพ่ยเพ่ยสตรีต่ำศักดิ์ได้พบกับเจิ้งหยางเจี๋ย ฮ่องเต้ผู้สูงส่ง เขาทำทุกวิถีทางเพื่อหวังเป็นบุรุษหนึ่งเดียวในใจนาง ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีในวังหลัง อีกทั้งไฟสงครามที่กลับมาปะทุอีกครา รวมถึงการทรยศจากคนใกล้ตัว นี่คือบทพิสูจน์รักแท้ของเจิ้งหยางเจี๋ยและฟางเพ่ยเพ่ย
บทที่ 1 คุณหนูผู้น่าสงสาร
บทที่ 1 คุณหนูผู้น่าสงสาร
เมืองหลวงต้าเจิ้ง
รัชศกหยางเจี๋ยปีที่ 5
ต้นฤดูหนาว
"ท่านแม่ ข้าจะไปต้มยามาเพิ่มให้ท่านนะเจ้าคะ"
"แค่ก แค่ก"
เสียงหวานใสของสตรีน้อยนางหนึ่ง เอ่ยกับผู้เป็นมารดาของตนที่กำลังนอนล้มป่วยอยู่บนเตียงด้วยความห่วงใย ยามนี้เป็นต้นฤดูหนาว การเพาะปลูกต่าง ๆ เริ่มหยุดลง เนื่องจากอากาศที่เหน็บหนาว จนยากแก่การเพาะปลูก ผู้คนต่างเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน เพื่อหลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่หนาวเย็น
ฟางเพ่ยเพ่ย กระชับผ้าคลุมกายให้ผู้เป็นมารดาด้วยความห่วงใย ก่อนจะเร่งรีบนำยาไปต้มมาเพิ่มให้ผู้เป็นมารดาได้ดื่มกิน เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยให้ทุเลาลง
"โอ๊ะ ยาหมดแล้วหรือ!!!"
เมื่อเดินเข้าไปในโรงครัว ฟางเพ่ยเพ่ยก็มีท่าทีร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพบว่าห่อยาที่นางไปขอซื้อจากท่านหมอ ได้หมดลงเสียแล้ว ยามนี้นางเหลือเงินเพียงไม่กี่อีแปะเท่านั้น ท่านแม่ก็มาล้มป่วยเช่นนี้ นางจะทำเช่นไรดีเล่า
ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดหวั่นใจ ฟางเพ่ยเพ่ยเองก็นึกหาทางแก้ไม่ตก
ปีนี้นางมีอายุ 14 ปีเต็มแล้ว แต่เดิมนั้น มารดาของนางเป็นบุตรสาวของชาวนา ทำเทือกสวนไร่นาไม่ได้ขาด เดิมทีครอบครัวของนางก็มิได้ลำบากเท่าใดนัก ท่านพ่อของนางเป็นถึงบุตรชายคนรองของตระกูลฟาง ตระกูลบัณฑิตเลื่องชื่อแห่งเมืองต้าเจิ้ง แต่ทว่าเมื่อท่านปู่ท่านย่าสิ้นชีพจากไปแล้ว บิดาของนางก็ล้มป่วยลงเช่นกันและมาจากนางกับท่านแม่ไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จึงยุยงท่านลุง ว่าเลี้ยงดูพวกนางไปก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังรังเกียจท่านแม่ที่เป็นเพียงลูกชาวนาต่ำต้อย จึงขับไล่พวกนางสองแม่ลูกออกจากจวนเสีย
ท่านแม่พานางกลับมาอยู่บ้านเดิมที่นอกเมืองต้าเจิ้ง ยามนี้ท่านตาท่านยายก็สิ้นชีพไปหมดแล้ว พวกนางสองแม่ลูกจึงทำได้เพียงเก็บพืชผักขายประทังชีวิตไปวัน ๆ เพียงเท่านั้น
แท้จริงแล้ว ฟางเพ่ยเพ่ยคนเก่าได้ตกตายไปตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว นางออกไปเก็บเห็ดและนำมาปรุงอาหาร โดยไม่รู้ว่าเห็ดนั้นมีพิษ นางจึงกินเห็ดพิษเข้าไป และอาเจียนท้องร่วงจนถึงแก่ชีวิต ผู้เป็นมารดาแบกนางไปขอความช่วยเหลือจากท่านหมอในเมืองหลวงต้าเจิ้ง นางสลบไปถึงสามวันสามคืนจึงฟื้นขึ้นมา
อาเพ่ย สาวน้อยจากยุคปัจจุบันที่ถูกรถชนเสียชีวิต ได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในร่างของฟางเพ่ยเพ่ย เดิมทีนางเป็นเพียงเด็กนักเรียน ม. ปลาย ที่กำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่เพราะโชคชะตา นางจึงได้ย้อนเวลามาอยู่ในร่างของสตรีน้อยนางนี้
อาเพ่ย ต้องปรับตัวเป็นอย่างมากเมื่อเข้ามาอยู่ในร่างของฟางเพ่ยเพ่ย แต่นานวันเข้านางก็เริ่มคุ้นชินกับร่างนี้ และยุคสมัยนี้ไปเสียแล้ว
ยุคสมัยต้าเจิ้ง มีฮ่องเต้ที่ได้ชื่อว่าทรราชและอำมหิตเป็นที่สุด!!!
"แค่ก แค่ก"
เสียงไอของผู้เป็นมารดายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ฟางเพ่ยเพ่ยครุ่นคิด เห็นทีว่าจะอยู่เฉย ๆ เช่นนี้ไม่ได้เสียแล้ว นางจึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะหาเสื้อผ้าหนา ๆ มาสวมใส่เพื่อป้องกันความเหน็บหนาว จากสภาพอากาศที่เลวร้าย และหยิบผ้าคลุมมาปิดบังใบหน้าและศีรษะของตนด้วยเช่นเดียวกัน
"ท่านแม่ ข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่นะเจ้าคะ"
ฟางเพ่ยเพ่ย เดินไปหาผู้เป็นมารดาและเอ่ยบอกนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ในคราแรกนางน้อยใจในโชคชะตายิ่งนัก ให้นางมาเกิดใหม่ทั้งที แต่กลับให้นางต้องลำบากเช่นนี้ อีกทั้งยังต้องมาดูแลมารดาที่ล้มป่วยอีกด้วย
แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว นางได้เห็นว่าท่านแม่ผู้นี้ รักและเอ็นดูนางมากเพียงใด ฟางเพ่ยเพ่ยจึงนึกเวทนาสตรีผู้นี้ขึ้นมาไม่น้อย และนางก็ใช้ร่างบุตรสาวของสตรีนางนี้อีกด้วย อย่างไรเสียจึงทำได้เพียงตั้งใจดูแลนางแทนฟางเพ่ยเพ่ยคนเก่า
"แค่ก อาเพ่ย เจ้าระวังตัวด้วย"
"เจ้าค่ะ ลูกจะรีบกลับมานะเจ้าคะ"
เมื่อเอ่ยรับคำผู้เป็นมารดาแล้ว ฟางเพ่ยเพ่ยจึงเร่งรีบออกเดินทางเพื่อไปที่โรงหมอทันที
ระยะทางจากเรือนของนางไปถึงโรงหมอนั้น ค่อนข้างห่างไกลพอสมควร ฟางเพ่ยเพ่ยต้องเดินเท้าเกือบครึ่งชั่วยาม จึงจะไปถึงประตูเมืองหลวงต้าเจิ้ง
โรงหมอที่นางมาซื้อยานั้น ตั้งอยู่ในเมืองหลวงต้าเจิ้ง ฟางเพ่ยเพ่ยหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า นางรีบมุ่งหน้าเข้าไปในโรงหมอทันที ยามนี้ยังไม่มีผู้คนมากนัก ฟางเพ่ยเพ่ยมองดูเงินสิบอีแปะในมือของตน ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในโรงหมอ แล้วจึงได้พบกับท่านหมอชราผู้หนึ่ง
"ท่านหมอเจ้าคะ"
ฟางเพ่ยเพ่ยเอ่ยเรียกท่านหมอชราที่กำลังนั่งเขียนเทียบยาอยู่บนโต๊ะ เขาเงยหน้าขึ้นมามองนางเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มมาให้
"อาเพ่ย"
"ท่านหมอ ยาของท่านแม่หมดแล้วเจ้าค่ะ เอ่อ ข้า ข้ามีเงินติดตัวมาเพียงสิบอีแปะ ข้า..."
ฟางเพ่ยเพ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกัก แม้จะดูน่าอับอายไม่น้อย แต่ทว่านางก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ท่านหมอที่โรงหมอแห่งนี้เป็นคนใจดีมีเมตตายิ่งนัก เขาคอยช่วยเหลือนางและท่านแม่มานับครั้งไม่ถ้วน
ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะเอ่ยสิ่งใด เสียงของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน น้ำเสียงหวานใส แต่ฟังดูเหยียดหยามเป็นอย่างยิ่ง
"โธ่ ๆๆๆ น้องเพ่ย ไม่เจอกันเสียตั้งนาน ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าตกต่ำถึงขนาดมาขอทานแล้วหรือ?"
ฟางเพ่ยเพ่ยจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่เรียบเฉย
ฟางหลินหลิน!!!
ฟางหลินหลิน เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านลุงและท่านป้าสะใภ้ใหญ่ แต่ไหนแต่ไรมา ฟางหลินหลินก็ชอบเอ่ยวาจาถากถางนางตั้งแต่วัยเยาว์ นางเองก็ชินชากับคำพูดเหล่านี้เสียแล้ว และไม่อยากจะเก็บมาใส่ใจอีกจึงทำเป็นไม่ได้ยินไปเสีย
ฟางหลินหลินส่งเสียงเฮอะในลำคอคราหนึ่ง นางจำฟางเพ่ยเพ่ยได้ แม้ฟางเพ่ยเพ่ยจะปิดบังใบหน้าเช่นไร นางก็ยังคงจำได้ดี
"ท่านอาสะใภ้คงใกล้ตายเต็มทีแล้วสินะ เจ้าจึงต้องแบกหน้ามาขอทานถึงต้าเจิ้งเช่นนี้!"
ฟางหลินหลินส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยฟางเพ่ยเพ่ยอย่างนึกสนุก ก่อนจะหยิบตั๋วเงินหนึ่งใบโยนใส่หน้าของฟางเพ่ยเพ่ยอย่างดูแคลน และเดินออกไปจากโรงหมอ เดิมทีนางเพียงมารับเทียบยาบำรุงให้ท่านแม่เพียงเท่านั้น แต่ช่างโชคไม่ดี ได้พบเจอกับฟางเพ่ยเพ่ย ญาติผู้น้องคนนี้เสียได้!
ฟางเพ่ยเพ่ย ก้มลงไปเก็บตั๋วเงินใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ มันมีมูลค่าถึงหนึ่งร้อยตำลึง ไม่น่าเชื่อว่าฟางหลินหลินจะใช้จ่ายเงินมือเติบได้ถึงเพียงนี้
แต่ก็ดีไม่น้อย นี่มิใช่เวลามาห่วงหน้าตาหรือศักดิ์ศรี นางจะต้องได้ยาที่ดีที่สุดนำไปให้ท่านแม่ให้ได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงยื่นตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้ท่านหมอ
"ท่านหมอเจ้าคะ ช่วยจัดยาที่ดีที่สุดให้ท่านแม่ข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
ท่านหมอที่ได้เห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะรับตั๋วเงินนั้นไป ในใจนึกชื่นชมฟางเพ่ยเพ่ยเป็นอย่างยิ่ง ที่มีใจกตัญญูต่อผู้ เป็นมารดาถึงเพียงนี้ โดยมิสนคำดูถูกเหยียดหยามเลยแม้แต่น้อย
ไม่นานนักท่านหมอชราก็ส่งยาสมุนไพรหลายสิบห่อให้แก่ฟางเพ่ยเพ่ย
"นี่เป็นยารักษาอาการไอชั้นดีที่ข้ามีและนี่ยาบำรุง ส่วนนี่เงินที่เหลืออีกยี่สิบตำลึง ข้าให้เจ้าติดตัวไว้ เดิมทียานี้มีราคาแพง ร้อยตำลึงก็ยังไม่พอจ่ายด้วยซ้ำ แต่ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นเด็กดี กตัญญูต่อผู้เป็นมารดา ข้าจึงช่วยเหลือเจ้า"
"ขอบพระคุณท่านหมอมาก ๆ เลยนะเจ้าคะ"
"อืม เจ้ารีบเดินทางกลับเถิด ขอให้แม่เจ้าหายป่วยโดยเร็ว"
"เจ้าค่ะ"
ฟางเพ่ยเพ่ยรู้สึกดีใจไม่น้อย นางรับห่อยามาจากท่านหมอ แล้วจึงรีบเร่งเดินทางกลับไปหาผู้เป็นมารดาทันที