บทที่ 2 ต้องใจทรราช
บทที่ 2 ต้องใจทรราช
สายลมหนาวเย็นพัดปะทะใบหน้างามเสียจนขึ้นสีแดงระเรื่อ ฟางเพ่ยเพ่ยกระชับผ้าคลุมใบหน้าให้มิดชิดมากยิ่งขึ้น เพื่อปกปิดผู้คนไม่ให้พบเห็นใบหน้าของนาง
ความงามของฟางเพ่ยเพ่ยนั้นราวกับเทพธิดาสวรรค์ ดวงตากลมสวย ริมฝีปากบางได้รูป ใบหน้าขาวเนียนงดงามไร้ที่ติเป็นอย่างยิ่ง แม้ยามนี้จะยังมิได้เติบโตเป็นสาวสะพรั่ง แต่ทว่าความงามของนางก็งดงามหวานล้ำกว่าสตรีใดในใต้หล้า
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ท่านป้าใหญ่และฟางหลินหลิน คิดชิงชังรังเกียจนางถึงเพียงนี้!!!
ด้วยกลัวว่าความงดงามของนางจะบดบังความงามของฟางหลินหลินไปจนหมดสิ้น!!!
ในอีกด้านหนึ่งมีบุรุษสองคนที่สวมชุดบัณฑิต กำลังเดินไปตามทางเรื่อย ๆ พวกเขาทั้งสองเดินเข้าออกตามทางเดิน ทะลุตรอกนั้น ผ่านเข้าตรอกนี้ พลางทอดสายตามองไปยังความเป็นอยู่ของราษฎรตรงหน้าอย่างพิจารณา
ราษฎรของเขา บางคนก็ร่ำรวยยิ่งนัก บางคนก็ยากจน ลำบากเป็นอย่างยิ่ง
เจิ้งหยางเจี๋ย คือฮ่องเต้แห่งต้าเจิ้ง เขาได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมและเด็ดขาดเป็นที่สุด เพียงไม่นานก็ปราบเหล่ากบฏได้หลายแคว้น ชื่อเสียงเลื่องลือเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังรูปงามหล่อเหลาราวกับมหาเทพบนสวรรค์
มีเสียงกล่าวอ้างร่ำลือ ว่าฮ่องเต้ต้าเจิ้งพระองค์นี้ มีพระพักตร์หล่อเหลาเยี่ยงบุรุษและอ่อนหวานเฉกเช่นสตรีในพระพักตร์เดียวกัน พระพักตร์ที่ราวกับสวรรค์สร้างเช่นนี้ ไม่เคยมีมาก่อนในต้าเจิ้ง เหล่าชาวบ้านไม่เคยพบพระพักตร์ของฮ่องเต้พระองค์นี้มาก่อน จึงได้แต่เพียงจินตนาการกันไปต่าง ๆ นานา อีกทั้งยังมีการวาดรูปพระพักตร์จำลองขึ้นมาอีกด้วย
เจิ้งหยางเจี๋ย ปลอมเป็นบัณฑิตและออกมานอกวังหลวงเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง เพราะเขาต้องการมาเห็นความเป็นอยู่ของราษฎรด้วยตาของตนเอง มิใช่ฟังเพียงลมปากของขุนนางคิดคดพวกนั้น
"ฝ่าบาท จะทรงออกมาด้วยพระองค์เองทำไมกันพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจึงมิให้เหล่าทหารมาตรวจตราแทนพระองค์เล่า"
"หุบปาก!!! หากยังเรียกข้าว่าฝ่าบาทอีก ข้าจะตัดส่วนนั้นเจ้าทิ้งเสีย!!!"
เจิ้งหยางเจี๋ยหันไปเอ่ยกับ หลัวเฉิงเยียน องครักษ์คนสนิทของเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา พร้อมกับปรายตามองหว่างขาของหลัวเฉิงเยียนอย่างอำมหิต
หึ!!! เกลียดยิ่งนักบุรุษที่ของลับใหญ่กว่าข้า ตั้งกฎใหม่ดีหรือไม่ บุรุษใดที่ของลับของมันใหญ่กว่าของลับของข้าให้ประหารมันทิ้งเสีย!!!
หลัวเฉิงเยียนรีบเงียบปากทันใด เขารู้อารมณ์ของเจิ้งหยางเจี๋ยเป็นอย่างดี เพราะคอยรับใช้เจิ้งหยางเจี๋ยมาตั้งแต่สมัยยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ยามนั้นเจิ้งหยางเจี๋ยยังเป็นเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้น
หลัวเฉิงเยียนจงรักภักดีต่อเจิ้งหยางเจี๋ยเป็นอย่างยิ่งอีกทั้งยังเคารพนายของตนมากอีกด้วย
เจิ้งหยางเจี๋ยคร้านจะใส่ใจหลัวเฉิงเยียนแล้ว เขาเดินมาตามทางเรื่อย ๆ จนพบกับร้านรวงร้านหนึ่ง เป็นร้านที่เจ้าของร้านรับวาดภาพเหมือน เมื่อมองเข้าไปในร้านเขาก็พบกับภาพวาดภาพหนึ่งที่ดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง
ฮ่องเต้ต้าเจิ้ง รูปงามราวกับมหาเทพบนสวรรค์!
เจิ้งหยางเจี๋ยที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ
เปรียบเปรยได้ดีเยี่ยม!!!
ถ้าจะให้ดีกว่านี้ต้องบอกว่าส่วนนั้นของข้า 'ใหญ่' ที่สุดในใต้หล้า!!!
เขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก แน่นอนสิ!!! เขาน่ะรูปหล่อจนเหล่านางกำนัลยังเก็บไปเพ้อฝัน แต่เพราะทำสงครามมานานนับปี เขาจึงไม่มีสตรีข้างกาย แม้แต่ตำแหน่งฮองเฮาก็ยังว่างไว้
เขายังไม่พบกับสตรีที่ถูกใจเลยแม้แต่นางเดียว
"ฝ่าบาท ได้ยินมาว่า ไทเฮาจะทรงคัดเลือกพระสนมให้พระองค์ในอีกสามวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ"
เจิ้งหยางเจี๋ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไปแม้เพียงคำเดียว ใบหน้าเย็นชาไม่ได้มีความดีใจหรือยินดียินร้ายต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
เสด็จแม่อยากหาก็หาไปสิ ขอเพียงพวกนางไม่เข้ามาวุ่นวายในราชสำนัก เขาก็จะไม่ลงโทษพวกนาง
ตั้งแต่เสด็จพ่อทรงสิ้นพระชนม์ไป เขาก็เหลือเพียงเสด็จแม่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น จึงไม่อยากจะขัดใจสิ่งใดผู้เป็นมารดามากนัก
เจิ้งหยางเจี๋ยและหลัวเฉิงเยียน เดินกันมาจนถึงประตูเมืองต้าเจิ้ง ฉับพลันก็มีสายลมหนาวที่รุนแรงพัดผ่านมาทางพวกเขา
"ระวังพ่ะย่ะค่ะ!!!"
หลัวเฉิงเยียนรีบขยับกายมาบังสายลมให้เจิ้งหยางเจี๋ยทันที เจิ้งหยางเจี๋ยยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนที่ยามนี้เย็นราวกับน้ำแข็ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างครุ่นคิด
ปีนี้หนาวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงความเป็นอยู่ของราษฎรอยู่นั้น สายตาของเจิ้งหยางเจี๋ยก็เหลือบไปเห็นบางอย่างเข้า บางอย่างที่ทำให้จิตใจของเขาสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สายลมหนาวเหน็บพัดโหมอย่างรุนแรง จนทำให้ผ้าที่ฟางเพ่ยเพ่ยใช้ปิดบังใบหน้าเอาไว้หลุดลุ่ยลงมา เผยให้เห็นใบหน้างามล้ำล่มเมือง ที่ดึงดูดสายตาของเจิ้งหยางเจี๋ยไปโดยไม่รู้ตัว
"ช่างงามนัก งามยิ่งนัก!!!"
ฟางเพ่ยเพ่ยที่เห็นเช่นนั้นก็เร่งฝ่าพายุความหนาว จนกลับมาถึงเรือน โดยไม่รู้เลยว่าความงามของตนได้ไปถูกตาต้องใจทรราชผู้หนึ่งเข้าเสียแล้ว นางรีบมุ่งหน้าไปที่โรงครัว ก่อนจะก่อไฟอีกครา ความร้อนจากไฟ ให้ความอบอุ่นแก่นางได้ไม่น้อย เมื่อต้มยาจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงรอให้มันเย็นอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะนำไปให้มารดาที่นอนล้มป่วยอยู่บนเตียงได้ดื่มเพื่อบรรเทาอาการป่วยไข้
ตำหนักมังกรสวรรค์
เจิ้งหยางเจี๋ยกลับมาถึงวังหลวงแล้ว หลังจากผลัดเปลี่ยนพัสตราภรณ์เสร็จแล้ว เขาก็ทิ้งกายลงนั่งที่โต๊ะทรงอักษร เหล่านางกำนัลต่างนำสุราชั้นดีมาถวาย เจิ้งหยางเจี๋ยยกจอกสุราขึ้นดื่ม ก่อนจะหวนนึกถึงใบหน้างามของสตรีนางนั้น
"นางเป็นผู้ใดกัน? เหตุใดจึงงดงามถึงเพียงนั้น"
ยิ่งคิดใจของเขาก็ยิ่งสั่นไหว อยากจะพลิกแผ่นดินและนำตัวนางมากกกอดเสียให้หนำใจ
"ฝ่าบาท ซุปสาลี่หิมะพ่ะย่ะค่ะ"
เสียงแหลมของ ขันทีใหญ่ ที่เดินเข้ามาในตำหนักมังกรสวรรค์ ทำให้เจิ้งหยางเจี๋ยถึงกับหลับตาลงคราหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตา และจ้องมองขันทีใหญ่อย่างเย็นชา
"คราวหน้าเจ้าลดเสียงลงหน่อย หูข้าจะแตกแล้ว!"
"ขออภัยฝ่าบาท"
เจิ้งหยางเจี๋ยพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองซุปสาลี่หิมะคราหนึ่ง
"ข้าไม่อยากกิน"
"ฝ่าบาท ยามนี้อากาศหนาวเย็น ทรงเสวยสักหน่อยเถิด"
"ก็บอกว่าไม่กิน!!! ไสหัวไปตามเหล่าขุนนางมา บอกว่าข้ามีรับสั่งให้เข้าประชุมด่วน ใครมาช้าเกินหนึ่งเค่อ เตรียมตัวรับโทษ!!!"
ขันทีใหญ่รีบลนลานเอ่ยรับคำทันที ให้ตายเถิด!!! เมื่อครู่เขายังเห็นฝ่าบาททรงยิ้มแย้มอยู่เลยแท้ ๆ เหตุใดจึงกริ้วอีกแล้วเล่า!!!
อาการทางประสาทกำเริบหรือ?