บทที่ 3 ห้ามใหญ่
บทที่ 3 ห้ามใหญ่
ท้องพระโรง
เหล่าขุนนางต่างเร่งรีบเข้ามาในท้องพระโรงด้วยจิตใจที่หวาดหวั่น บางคนที่อายุมากแล้วถึงกับเหนื่อยหอบ แต่พยายามอดกลั้นเอาไว้ เพื่อมิให้แสดงท่าทีใดใดออกมา ด้วยเกรงว่าจะทำให้ฮ่องเต้ต้าเจิ้งพระองค์นี้ทรงไม่พอพระทัยเอาได้
เจิ้งหยางเจี๋ยในยามนี้ เขาสวมเพียงชุดคลุมตัวเดียว เผยให้เห็นแผงอกล่ำสันของบุรุษที่ชวนมอง แต่ไหนแต่ไรเขาก็ชอบแต่งกายสบาย ๆ เช่นนี้ ไม่เคยสวมพัสตราภรณ์ฮ่องเต้ขึ้นว่าราชการเลยสักครั้งนอกจากวันที่ประกาศขึ้นครองราชย์เพียงเท่านั้น ใครที่มันกล้าวิจารณ์เขาจะตัดลิ้นมันทิ้งเสีย
เจิ้งหยางเจี๋ยนั่งเอนกายอย่างสบายอยู่บนบัลลังก์มังกร ดวงตาคมกวาดมองเหล่าขุนนางอย่างเย็นชา
"ถวายพระพรฝ่าบาท!!!"
เหล่าขุนนางที่มาถึงแล้ว ต่างรีบทำความเคารพเขาอย่างรวดเร็ว ผู้ใดบ้างจะไม่เกรงกลัวทรราชผู้นี้
เจิ้งหยางเจี๋ยขึ้นครองราชย์มาห้าปีแล้ว ในปีแรกนั้นเขาสังหารกบฏแห่งแคว้นฉู่ตกตายไปจนหมด อีกทั้งยังตัดหัวสังหารฆ่าล้างตระกูลฉู่อ๋องจนมิหลงเหลือแม้เพียงคนเดียว
เมื่อเข้าสู่ปีที่สอง มีเหล่าขุนนางคิดท้าทายอำนาจของเขา กระทำการฉ้อราษฎร์บังหลวง จึงถูกเขาสั่งประหารล้างตระกูลเช่นกัน ในปีนั้นเจิ้งหยางเจี๋ยประหารขุนนางไปหลายสิบคนอย่างไร้ความปรานี
เหล่าขุนนางต่างรู้กันดีว่า เจิ้งหยางเจี๋ยนั้น ทั้งเจ้าอารมณ์และเดาใจยากเป็นที่สุด
"เมื่อครู่ข้าออกไปนอกวังหลวงมา"
เจิ้งหยางเจี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่รีบไม่ร้อน นิ้วมือใหญ่เคาะลงไปเบา ๆ ที่โต๊ะถวายฎีกาจนเกิดเสียงสะท้อน เหล่าขุนนางที่ได้ยินเช่นนั้นก็ลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
ฝ่าบาทออกจากวังหลวงไปเพื่อสิ่งใดกัน?
ดูจากสีพระพักตร์แล้วย่อมมิใช่เรื่องดีเป็นแน่!!!
"ยามนี้ต้าเจิ้งประสบภัยหนาวอย่างรุนแรง เหล่าชาวบ้านที่ยากจนไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ อีกทั้งยังไร้ที่พักอาศัย ข้าขอถามพวกเจ้าสิว่า ตั๋วเงินในท้องพระคลังที่พวกเจ้ามาเบิกจ่ายออกไปใช้เมื่อสิบวันที่แล้ว ได้ประโยชน์อันใดบ้าง?"
เหล่าขุนนางต่างเงียบกริบ ไม่กล้ามีผู้ใดส่งเสียง มีเพียงท่านเสนาบดีกรมพระคลังที่ใจกล้าออกมาอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟัง
"ทูลฝ่าบาท เงินกองกลางที่กระหม่อมเบิกจ่ายไปใช้นั้น ยามนี้กำลังรวบรวมเสบียงอาหารและเครื่องนุ่งห่มเตรียมนำออกมาแจกจ่ายเหล่าชาวบ้านแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะสภาพอากาศที่เลวร้าย เสบียงบางส่วนจากนอกเมืองหลวงจึงมาส่งช้ากว่าทุกปีพ่ะย่ะค่ะ"
เสนาบดีกรมพระคลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่รีบไม่ร้อน เจิ้งหยางเจี๋ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ
"เสบียงอาหารและเครื่องนุ่งห่มที่พวกเจ้าว่ามานี้ มันใช้เวลาเตรียมการนานเป็นสิบวันเชียวหรือ?"
"ทูลฝ่าบาท ราษฎรต้าเจิ้งมีมากนัก หนึ่งครัวเรือนมีหลายคนที่พักอาศัยอยู่ร่วมกัน จึงต้องตรวจสอบให้ดีเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ"
"มากมายถึงเพียงนั้น?"
"ทูลฝ่าบา..."
"หุบปาก!!! จะทูลสิ่งใดนักหนา เหตุใดจึงไม่เอ่ยมาให้จบ ๆ เสียทีเดียว!!! ปากเจ้าอมสิ่งใดไว้ ข้าตัดลิ้นเจ้าทิ้งดีหรือไม่ มีลิ้นไปก็ไร้ค่าสิ้นดี!!!"
"ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้ว!!!"
พลั่ก!!!
เจิ้งหยางเจี๋ยยกเท้าขึ้นถีบโต๊ะวางฎีกาอย่างแรงจนมันร่วงหล่นลงไปที่กลางท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างตัวลีบกันอย่างหวาดกลัว ด้านเสนาบดีกรมพระคลังก็หัวปูดเพราะโดนโต๊ะล้มฟาดใส่
"เป็นขุนนางของข้า ต้องใส่ใจความเป็นอยู่ของราษฎรให้มากกว่านี้ ผ่านมาสิบวันแล้ว ราษฎรของข้ายังไม่ได้รับเสบียงอาหารและเครื่องนุ่งห่มเลย ข้าออกจากวังหลวงทุกวัน พบเห็นผู้คนมากมายที่รอความช่วยเหลือ แต่พวกเจ้ากลับล่าช้า จนราษฎรตราหน้าว่าข้าเป็นฮ่องเต้ที่ทรราช ไร้ความปรานีต่อราษฎร!!! "
เจิ้งหยางเจี๋ยกวาดตามองเหล่าขุนนางอย่างอำมหิต เขาเกลียดยิ่งนัก ขุนนางที่ทำงานบกพร่องเช่นนี้ ในยุคสมัยของเสด็จพ่อ เพราะความใจดีเกินไป เหล่าขุนนางจึงเหิมเกริม ไม่ใส่ใจราษฎร วางอำนาจเป็นใหญ่ ท้ายที่สุดเหล่าขุนนางก็ใช้อำนาจที่เสด็จพ่อทรงมอบให้ในทางที่ผิดจนเกิดความเดือดร้อนยากจะแก้ไข
เขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเด็ดขาด!!!
"ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าอีกเพียงสามวัน หากเสบียงอาหารและเครื่องนุ่งห่มกันความหนาวยังไม่ถึงมือราษฎรของข้า ข้าจะประหารพวกเจ้าให้หมด!!!"
"ฝ่าบาท ทรงเมตตาด้วย!!!"
เหล่าขุนนางรีบคุกเข่าโขกศีรษะร้องขอความเห็นใจ ต่างพากันผุดลุกผุดนั่งอยู่เช่นนั้น เพื่อหวังให้เขาเมตตาปรานี
แควก
เสียงคล้ายกับเสื้อผ้าฉีกขาดดังขึ้นมาในท้องพระโรง เจิ้งหยางเจี๋ยจึงหันไปมองตามเสียงนั้นทันที ก่อนจะพบกับขุนนางชราผู้หนึ่งที่มีร่างกายอวบอ้วน ยามนี้เสื้อผ้าของเขาปริแตกออกจนขาดรุ่งริ่ง
ให้ตายเถิด!!! เขามัวแต่เสียดายตั๋วเงินไม่อยากตัดชุดขุนนางใหม่ จึงใส่ชุดเดิมไปก่อน ไม่คิดว่ามันจะขาดเช่นนี้!!!
เจิ้งหยางเจี๋ยปรายตามองขุนนางชราผู้นั้นคราหนึ่ง เขาเห็นบางสิ่งบางอย่างห้อยโตงเตงอยู่ที่หว่างขาของขุนนางชราผู้นั้นเข้า
เหมือนจะใหญ่กว่าของเขา!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืนแล้วค่อย ๆ เดินลงมาจากบัลลังก์มังกร มุ่งตรงไปที่ขุนนางชราผู้นั้นทันที
"ถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกให้หมด"
"ฝ่าบาท!!!"
"ข้าจะพนันกับเจ้า หากของลับของเจ้าใหญ่กว่าของลับของข้าโทษตายสถานเดียว แต่ถ้าของลับของเจ้าเล็กกว่าของลับของข้า ข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้า"
เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กแล้ว ฮ่องเต้ของพวกเขาร่ำรวยเหลือใช้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ? จึงนำเงินทองมาใช้จ่ายอย่างไร้แก่นสารถึงเพียงนี้
แต่นั่นมิใช่เรื่องสำคัญ ยามนี้เรื่องสำคัญกว่าก็คือ พวกเขาต้องช่วยกันภาวนาให้ของลับของขุนนางชราอ้วนผู้นี้เล็กกว่าของลับของฝ่าบาท
เทพสวรรค์โปรดเมตตาด้วย!!!
ผู้ใดก็รู้!!! ฝ่าบาทมิชอบให้ของลับของขุนนางคนใดใหญ่กว่าของพระองค์!!!
ขุนนางชราอวบอ้วนร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว เขาค่อย ๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์จนล่อนจ้อนต่อหน้าเจิ้งหยางเจี๋ย
เมื่อได้เห็นสิ่งที่ต้องการเห็นแล้ว เจิ้งหยางเจี๋ยก็ยกยิ้มตาหยี
"ราชเลขาปูนบำเหน็จห้าร้อยตำลึง"
"รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ"
เจิ้งหยางเจี๋ยเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะครุ่นคิดในใจ
เล็กกว่านิ้วก้อยของเขาเสียอีก ให้ตายเถิด!!! น่าเวทนายิ่งนัก หากมองผ่าน ๆ เขาคงคิดว่าหนอนเหี่ยวตายเสียแล้ว!!!
เมื่อเจิ้งหยางเจี๋ยออกจากท้องพระโรงไปแล้ว เหล่าขุนนางต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางครุ่นคิดในใจว่าจะต้องกลับไปเตรียมชุดขุนนางให้ดี อีกทั้งยังต้องหาสิ่งใดรัดส่วนนั้นมิให้ห้อยโตงเตงไประคายพระทัยของฝ่าบาทด้วย!!!