บทที่ 4
“หนูรู้ใช่ไหมว่า จนป่านนี้แล้วสเลเตอร์ก็ยังไม่ได้แต่งงานกับใครอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่แน่นะ บางทีหนูกับเขาอาจจะ..”
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะแม่”
ดอว์นปฏิเสธทันทีด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ
“ในเมื่อหนูทำกับเขาถึงขนาดนั้นแล้ว ไม่มีทางที่เราสองคนจะกลับมาคืนดีกันได้อีก เรื่องที่เราจะกลับมาถึงขั้นแต่งงานกันนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย แม้ว่าเราจะเห็นแก่แรนดี้สักเท่าไหร่ก็ตาม สเลเตอร์เขาดูถูกหนูจะตาย..ซึ่งหนูจะไปตำหนิเขาไม่ได้ด้วย”
“แม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับเรื่องนั้น แต่เรื่องมันก็ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว”
“แม่คะ เมื่อเวลาเปลี่ยนไปคนเราก็เปลี่ยนตาม นั่นมันเป็นสัจธรรม หนูเชื่อค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราก็แยกทางกันไปนานแล้ว ไอ้ความรู้สึกรุนแรงน่ะมันอาจจะไม่เหลืออยู่ก็จริง แต่หนูก็ไม่ใช่เด็กสาวคนที่เดินทางออกจากเมืองนี้ด้วยเรือยอร์ทช์อีกแล้วนะคะ”
ซึ่งเธอก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเรื่องนี้ แม้ว่ามันจะสายเกินไปสำหรับเธอกับสเลเตอร์ก็ตาม เธอได้สูญเสียเขาไปแล้วและจะไม่มีวันหลอกตัวเอง ด้วยการสร้างความเชื่อขึ้นมาว่าเธอจะสามารถชนะใจเขาได้
แต่อย่างน้อยการที่ได้พูดถึงเขากับความหายนะที่เกิดขึ้นทั้งชีวิตในอดีตและอนาคต มันทำให้จิตใจเธอโล่งเบาได้อย่างประหลาด ที่จริงแล้วดอว์นไม่เคยคิดที่จะสร้างความทุกข์ใจให้มารดาเลย โดยเฉพาะเมื่อเธอเพิ่งเดินทางกลับมาถึงบ้านได้ไม่กี่ชั่วโมง แต่เมื่อเรื่องมันผ่านพ้นไปแล้วเธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
เธอหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาถือไว้อีกครั้ง เอ่ยเรียบๆว่า
“หนูจะช่วยล้างจานอาหารกลางวันเลยนะคะ เดี๋ยวพอพ่อกับแรนดี้กลับมาก็ถึงเวลาทำอาหารเย็นอีกแล้ว”
“ไม่ต้องช่วยหรอกน่า”
ริต้าทักท้วง
“มาถึงเหนื่อยๆ พักผ่อนเสียก่อนเถอะ แค่นี้เองแม่ทำได้ ไปเติมกาแฟใหม่เถอะ จานชามนั่นเดี๋ยวแม่จัดการเอง”
“ไม่ละค่ะแม่”
ดอว์นยิ้มให้มารดาขณะเดินไปที่อ่างล้างจาน
“หนูต้องเริ่มฝึกงานแม่บ้านไว้ แม่ก็รู้นี่ว่าถ้าได้อยู่บ้านใหม่หนูก็ยังไม่มีปัญญาจ้างคนครัวคนรับใช้มาปรนนิบัติหรอก”
“แม่ดีใจนะดอว์นที่หนูกลับมาอยู่บ้านกับเรา”
หยาดน้ำใสๆ หล่อรื้นขึ้นในดวงตา
“ค่ะ หนูก็ดีใจ”
ดอว์นสูดลมหายใจลึก ความเมตตาของแม่เป็นสิ่งที่สร้างกำลังใจให้เกิดขึ้นได้อย่างมาก
ขณะขี่จักรยานไปตามถนนสายของคีย์ เวสท์..ดอนมีความรู้สึกราวเข็มนาฬิกาได้พาเธอย้อนกลับไปสู่วันเวลา เมื่อครั้งที่จักรยานเป็นพาหนะเพียงอย่างเดียวที่เธอจะใช้เที่ยวท่องไปรอบเกาะแห่งนี้ได้ เธอเกือบจะเชื่อว่า ขณะนี้ตนเองได้หวนกลับไปสู่อดีตอีกครั้ง ถ้าไม่มีแรนดี้ขี่จักรยานคันของแกอยู่ข้างหน้า
“เร็วๆ หน่อยสิครับ มัวคลานเป็นเต่าอยู่นั่นแหละ”
เด็กชายเอี้ยวหน้ามามอง รอยยิ้มอย่างยั่วเย้าฉาบอยู่บนใบหน้า
“อยากจะเร็วสักแค่ไหนก็ไปเลย”
เธอโบกมือให้ลูกชาย รู้ดีว่าแรนดี้หงุดหงิดที่เธอไปอย่างช้าๆ ในวัยขนาดนี้แรนดี้พร้อมที่จะแข่งกับอะไรทุกอย่าง ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี
“แม่อาจจะเป็นเต่า แต่เต่ามันก็เคยชนะกระต่ายมาแล้วนะ”
ท่อนขาเพรียวคล้ำเริ่มออกแรงปั่นจักรยานอีกครั้ง แรนดี้หมอบตัวลงเพื่อเร่งความเร็วให้มากที่สุด ดอว์นส่ายหน้าอย่างขบขันกับความคะนองของลูกชาย ไม่เข้าใจเลยว่า การขี่จักรยานเร็วๆอย่างนั้น มันสร้างความสนุกให้เกิดขึ้นได้ตรงไหน
เพียงครู่แรนดี้ก็หายตัวไปแล้ว แต่ดอว์นก็วางใจเพราะไม่มีทางที่แรนดี้จะหลงได้ เพราะที่นี่เป็นเกาะซึ่งไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่โตมากนัก ยิ่งกว่านั้น ตลอดเวลาสองวันที่ผ่านมา ลูกชายของเธอก็ออกสำรวจบริเวณเกาะ ทั้งด้วยการเดินและขี่จักรยานไปทั่ว แรนดี้ย่อมรู้ทางว่าจะกลับมาที่เดิมได้อย่างไร
ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านดอว์นก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย จนกระทั่งบ่ายวันนี้ ที่แรนดี้มาเกลี้ยกล่อมให้ขี่จักรยานออกไปเที่ยวกัน ดอว์นรู้สึกสนุกที่ได้ขี่จักรยานไปรอบๆบริเวณที่เป็นบ้านเกิดของเธออีกครั้ง ได้เห็นทั้งความเปลี่ยนแปลงและภาพความหลังเก่าๆ ที่ยังจารึกอยู่ในใจ
เมื่อครั้งที่ยังเป็นสาวรุ่นวัยสิบแปด คีย์ เวสท์ ดูไม่อาจสนองความต้องการให้เธอได้อย่างเพียงพอเลย ไม่ว่าจะเป็นชีวิต ความสนุกตื่นเต้น หรืออนาคตอย่างที่เธอวาดความฝันไว้ตามใจต้องการ แต่ขณะนี้เธอมีความรู้สึกอยู่ว่า มันเป็นเมืองที่เหมาะกับลูกชาย แรนดี้ควรได้เติบโตขึ้นด้วยสิ่งแวดล้อมแบบนี้มากกว่า
ท้ายเกาะทางด้านทิศใต้เป็นแนวหินโสโครกและบริเวณท่าเรือน้ำลึก ซึ่งคุณสมบัติทั้งสองประการนี้ทำให้คีย์ เวสท์ เป็นถิ่นโจรสลัดไปโดยปริยาย ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลอย่างสูง ทำให้เกาะนี้กลายเป็นหมู่บ้านชาวประมงนิวอิงแลนด์ มีรีสอร์ตที่พวกนักทัศนาจรหลั่งไหลเข้ามาพักผ่อน เพื่อชื่นชมกับความงามของธรรมชาติและยังสามารถเดินทางผ่านเข้าไปในคิวบา อันเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ชิดพรมแดนได้อีกด้วย
ท้องทะเลสีครามรายล้อมอยู่รอบเกาะและเหนือขึ้นไป ก็ยังมีท้องฟ้าสีเดียวกันครอบคลุมไว้ แสงแดดสาดส่องให้ความอบอุ่นชั่วนาตาปี เนื่องจากมันเป็นเกาะที่อยู่ในเขตค่อนข้างร้อน ดังนั้นคีย์ เวสท์ จึงมีพันธุ์ไม้นานาชนิดที่เขียวชอุ่มอยู่ทั้งปีและคงความลึกลับอันน่ามหัศจรรย์ไว้ ยิ่งกว่านั้นพันธุ์ไม้ดอกก็ยังแต่งแต้มสีสันอันวิจิตรให้กับผืนแผ่นดิน ออกดอกสลับสีสล้างอยู่ตลอดทั้งปี
พุ่มโอลีนเดอร์ที่หนาทึบเกือบทำให้ดอว์นไม่เห็นแนวรั้วสีขาวใกล้แนวที่เธอขี่จักรยานผ่านไป เธอสอดส่ายสายตามองไปทางนั้นด้วยความอยากรู้ว่า มันเป็นรั้วที่กั้นอาณาเขตอะไรไว้ ทันสังเกตเห็นทางรถวิ่งสายสั้นๆที่พันธุ์ไม้เลื้อยขึ้นรกรุงรัง ทอดเข้าสู่ที่ตั้งของบ้านหลังหนึ่ง
มันเป็นบ้านเก่าของสกุลแวน เดอ เวียร์..ดอว์นกับแคทธี่ เวน เดอ เวียร์ เคยเป็นเพื่อนสนิทเมื่อครั้งเรียนหนังสืออยู่โรงเรียนเดียวกัน เมื่อเห็นบ้านหลังนี้เข้าเธอก็นึกไปถึงที่แม่เล่าให้ฟัง ว่าครอบครัวนี้ได้ย้ายไปอยู่แผ่นดินใหญ่เมื่อสองปีที่แล้ว
ดอว์นอดเสียดายไม่ได้ เมื่อได้เห็นบ้านหลังนี้ตั้งอยู่อย่างเงียบเหงาไร้จิตวิญญาณ เนื่องจากไม่มีผู้อยู่อาศัย เธอเบรกจักรยานลงตรงถนนด้านข้างของตัวบ้าน อยากดูมันให้ถนัดชัดเจนขึ้น
บ้านหลังนี้มีเสน่ห์และลักษณะพิเศษอยู่ในตัวของมัน..แม้เวลานี้จะมีหญ้าขึ้นรกรุงรังทั้งไม้พุ่มและต้นไม้ใหญ่ก็ไม่ได้รับการตัดตกแต่ง แต่กระนั้นก็ดูราวกับว่า ไม่มีสิ่งใดจะมาทำลายความยืนยงของมันลงได้ ลักษณะของบ้านที่ปลูกสร้างขึ้นด้วยไม้ มีระเบียงด้านหน้ากว้างขวางยังแข็งแรงมั่นคงมาก ซึ่งบ้านหลายหลังที่เคยมีรูปแบบเดียวกันนี้ ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปจนหมดแล้ว
ดอว์นมองดูบ้านหลังนี้อย่างหลงรัก อยากได้ครอบครองมันไว้ เพื่อที่เธอจะได้ตกแต่งให้เป็นบ้านแสนสุขสำหรับตัวเองกับแรนดี้
มีเสียงล้อรถจักรยานดังขึ้นทางเบื้องหลัง แต่ดอว์นไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงนั้นเท่าไรนัก จนเมื่อได้ยินเสียงเบรกดังเอี๊ยดขึ้นเกือบจะชิดตัว จึงได้หันขวับไปมองคิดว่าคนขี่จะลงไปนอนอยู่ข้างถนนแล้ว แต่ปรากกว่าแรนดี้ยิ้มเผล่อยู่บนอาน
“ผมทำให้แม่ตกใจใช่ไหมล่ะ?”
เด็กชายถามล้อๆ
“แม่คิดว่าผมจะชนเข้าให้แล้วสิใช่ไหม?”
“เปล่าเลย แม่คิดว่าคนขี่คงไปกลิ้งโค่โล่อยู่ข้างถนนแล้วเสียอีก”
เธอมองหน้าลูกชายอย่างไม่ใคร่พอใจในความคึกคะนอง
“แล้วแม่มาหยุดอยู่ตรงนี้ทำไมล่ะ?”
แนดี้ถามขยับรถถอยหน้าถอยหลังอยู่ใกล้ๆ ท่าทางกระวนกระวายอยากจะออกไปให้พ้นจากที่นั่นเสียเร็วๆ
“แม่กำลังดูบ้านหลังนี้อยู่”
ดอว์นพยักหน้าไปทางตัวบ้านที่เมื่ออยู่ตรงทางรถวิ่งจะเห็นได้ถนัดชัดเจนขึ้น
“ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นบ้านของเพื่อนแม่เอง แต่เวลานี้ไม่มีใครอยู่แล้ว เขาย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมด”
“โอ้โฮ..มันรกอย่างกับป่านะแม่..!”
แรนดีวิจารณ์ขณะกวาดสายตามองไปรอบๆบริเวณบ้านด้านหน้าที่มีพันธุ์ไม้ไร้ค่าขึ้นปกคลุมและยังพันธุ์ไม้เลื้อย ที่ทอดยอดขึ้นไปยึดครองแนวระเบียงไว้
“ผมว่าถ้าจะให้ดี เราก็สำรวจบริเวณบ้านเสียเลยเป็นไง..”
พูดยังไม่ทันขาดคำ แรนดี้ก็ขี่จักรยานเข้าไปยังทางวิ่งนั้นเสียแล้ว
“แรนดี้..นั่นน่ะเป็นทางส่วนตัวของเขานะ”
ดอว์นร้องห้ามอย่างตกใจ
“บุกรุกเข้าไปอย่างนี้เจ้าของเขาเห็นเข้าจะถูกจับนะ”
“โธ่ แม่..ผมไม่ได้เข้าไปขโมยอะไรเขาสักหน่อย อยากจะดูมันใกล้ๆเท่านั้น ไม่ได้เสียหายอะไรหรอกน่า” เด็กชายเถียง